About
Table of Contents
Comments

  เสียงโทรศัพท์ จากเบอร์ที่ไม่คิดว่าจะเมมฯ แต่ก็น่าตลกเหลือเกิน ที่ ปริญญา จำได้แม่นว่าเป็นเบอร์โทรของใคร ทั้งที่เป็นเบอร์ที่เพิ่งได้คุยกันเพียงสามครั้งเท่านั้น

  สาวตาดุคมกริบเหลือบไปยังเครื่องมือสื่อสารเพียงครู่ จากนั้นก็ไม่อยากเสียเวลาชั่งใจคิดว่าจะรับหรือไม่รับ มันผ่านช่วงเวลาที่น่าอึดอัดนั้นมาแล้วน่า แต่ประหลาดเหลือที่ลมหายใจของเธอมันเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ

  “สวัสดี”

  ปลายเสียงสั่นไหวชัดเจน จนคนที่อยู่อีกฟากฝั่งต้องอมยิ้ม ก่อนจะพูดสวนออกมาว่า “ไม่ต้องทางการขนาดนั้นก็ได้นะแหม่ม”

  “น้องน่าจะมาถึงแล้วนะ ให้ผู้จัดการไปรับแล้วล่ะ ถ้าเจอกันแล้วคงโทรมาหาเรา” ปริญญารีบรายงาน เพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจไปยังเรื่องอื่นที่ไกลนอกตัว เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียงที่เคยคุ้น หัวใจที่แห้งผากราวต้นไม้ขาดน้ำก็พลันสดชื่นขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

  แต่ทว่า หญิงสาวไม่อยากให้มีความสดใสเกิดขึ้นสักนิด เมื่อมันจบลงด้วยความขมุกขมัว เธอก็ยินยอมที่จะหลบอยู่ในที่สลัวตลอดไป...ไม่ง่ายเลยสักนิด ที่ต้องมาปั้นเสียงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เรื่องมันปานฟ้าผ่าในตอนรับโทรศัพท์จากเจนนี่ตั้งแต่เมื่อต้นเดือนโน่นแล้ว

  “แหม่มใจร้ายกับเราได้นะ แต่อย่าใจร้ายกับน้องเรา สัญญาได้มั้ย” เจนนี่ เปลี่ยนเป็นมาพูดเสียงจริงจัง จนอีกคนต้องทำท่าเอานิ้วเอาไปแยงแคะหูเล่นด้วยความเบื่อหน่าย

  “มิคกี้ไม่เคยทำเราเจ็บ เราจะไปทำอะไรเค้าได้ พูดไรบ้าๆ น่า”

  “ที่พูดนี่คือยังเจ็บอยู่อีกเหรอ เราว่าไม่น่าจะใช่นะ” เจนนี่พูดพร้อมกับขยับปลายนิ้วเปิดหน้านิตยสารบันเทิงเมืองไทย ไปยังหน้าที่เคยใช้นิ้วสอดค้างหน้าเอาไว้ก่อนหน้า

  ทันทีรอยยิ้มแสยะพลางส่ายหน้าระอา ก็ทำให้เธอต้องปิดหนังสือลงเหมือนเดิม เพราะข่าวความสัมพันธ์ของบอสใหญ่แห่งค่ายเพลง Tic Toc กับโปรดิวเซอร์คู่บุญ มันไม่ใช่ความลับอะไรในแวดวงบันเทิงเมืองไทยเลยสักนิด

  ผู้หญิงคนที่เจนนี่กำลังคุยเชิงประชดประชันกันอยู่นี้ก็แฟนเก่าของเธอนั่นล่ะ แฟนเก่าที่ตอนนี้มีข่าวลือว่าเป็นแฟนใหม่เป็นเพื่อนเก่าของเธอเอง เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสิบห้าปีที่แล้วค่อนข้างซับซ้อน มันชุลมุนวุ่นวายไปหมด เกิร์ลกรุ๊ปในยุคแรกๆ ของเมืองไทย พวกเธอคือสองในสี่คนของวงที่เคยโด่งดังแบบสุดขีดมาก่อน

  แต่มันก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น เพราะหลังเกิดเรื่อง เธอก็ต้องย้ายตามครอบครัวมาอยู่ที่นิวยอร์ก ส่วนปริญญาเองก็ถูกค่ายจับแยกเป็นนักร้องเดี่ยวอยู่หลายปี ซึ่งก็ถือว่าเป็นศิลปินของค่ายที่ประสบความสำเร็จได้อย่างยาวนาน

  จนได้รับความไว้วางใจให้มาบริหารค่ายน้องใหม่ Tic Toc ซึ่งเป็นค่ายเล็กๆ ที่เป็นบริษัทลูกของค่ายเดิมของเธอนั่นแหละ

  แต่สิ่งที่อีกคนคิดอยู่นั้นคือ...อยู่ดีๆ ก็หนีหาย แล้วก็กลับมาถามหน้าซื่อว่ายังเจ็บอยู่อีกหรือ แล้วจะให้ตอบว่าอย่างไรได้เล่า...

  “เจ็บอะไร” ปริญญาเผลอถามเสียงห้วนกลับ

  เพราะคำแทงใจ มันทำให้เธอแทบจะควบคุมตัวเองไม่ไหว คล้ายเป็นคำแสนเปราะบางที่พร้อมจะย่อยยับหัวใจลงได้ทุกเมื่อ

  “โอเค เราเข้าใจผิดไปเอง”

  “เข้าใจอะไรผิด”

  “พอๆ ไม่ได้อยากชวนทะเลาะ เราแค่จะมาฝากดูแลน้องเราเท่านั้นเอง เรื่องพวกเราน่ะโยนทิ้งมันไปเถอะ เราขอแค่นี้ล่ะ ช่วยสานฝันให้น้องเราหน่อยได้มั้ย” เจนนี่พยายามควบคุมน้ำเสียงให้อ่อนลง

  เพราะเธอรู้ดี ว่าหากทำเสียงเพี้ยนคีย์ไปเพียงนิด คนอย่างปริญญาก็พร้อมจะระเบิดตูมตามขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

  “แล้วที่ยอมให้นั่งเครื่องมาจากนิวยอร์ก นี่คือไม่ช่วยเหรอเจน”

  “ขอบคุณนะคะ ช่วยเอ็นดูมิคกี้เหมือนตอนแกเป็นเด็กก็ได้ อื้อ น้องเค้าดีใจมากนะที่จะได้กลับเมืองไทย และจะได้ไปเจอพี่แหม่มของเค้าด้วยน่ะ”

  “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แค่นี้นะ” ปริญญาพูดเสียงหน่ายๆ แล้วกดตัดสายไปอย่างรวดเร็ว

  และเมื่อเสียงเงียบลง ทันใดบนโซฟาใกล้ๆ ก็มีการเคลื่อนไหวด้วยท่าชูสองแขนขึ้นบิดขี้เกียจ จากนั้นร่างของชายหนุ่มผู้มีดวงตากลมโตงดงาม หากแต่มันกลับเร้นความเศร้าเอาไว้อย่างน่าใจหาย ถึงแม้ว่าเจ้าของใบหน้าที่เพิ่งจะหันมามองกันจะพยายามยิ้มออกมาเต็มแก้ม แต่มันก็ไม่สามารถที่จะทำให้คนที่เพิ่งวางมือถือได้แย้มรอยยิ้มตามออกมาอยู่ดี

  “อะไรคือยังทำเสียงเหมือนงอน เหมือนรำคาญกัน” พิธานพูดออกมาหลังจับน้ำเสียงที่ได้ยินมาตั้งแต่เริ่มจนจบ

  “อะไรคือแอบฟังคนคุยโทรศัพท์กัน” ปริญญาก็ยียวนถามกลับไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

  การสนทนาที่เพิ่งจบลงเมื่อครู่ ไม่ได้ถือว่าเป็นความลับของค่าย เพราะทั้งเธอและโปรดิวเซอร์พิธาน ต่างรู้เรื่องนี้พร้อมกัน และตัดสินใจที่จะรับเอามิคกี้เข้ามาอยู่ในค่าย ในเมื่อคุณสมบัติที่ส่งมาพร้อมกับคลิปการแสดงความสามารถ มันทำให้พวกเขาปฏิเสธไม่ลง

  “อะไรคือผู้จัดการกั้งไม่ยอมโทรมาสักที” พิธานยังคงสนุกที่จะต่อปากต่อคำ ทั้งที่อีกคนได้หมุนเก้าอี้หันไปด้านอื่นแล้ว

  ไม่เคยอยู่ในสายตาอย่างไร มันก็ยังเป็นเหมือนเดิม...มันไม่ใช่ความเย็นชา เพียงแต่ปริญญาไม่ปรารถนาที่จะให้ความสุงสิงกับใคร หรือแม้กระทั่งเขาเอง เขาก็จะมีเพียงมุมเล็กๆ เท่านั้นที่ซุกอยู่ในใจของผู้หญิงคนนี้ และมุมนี้ไม่ใช่สีชมพูเสียด้วย แต่มันคือสีม่วงอันช้ำเลือดช้ำหนอง ซึ่งคนอย่างเขาไม่เคยรู้สึกเข็ดขยาดเสียที

  “เซ็งว่ะ ไปละ”

  สั้นๆ ง่ายๆ พร้อมกับการลุกขึ้นจากเก้าอี้

  “กลับห้อง?” พิธานเลิกคิ้วถาม ชินเสียแล้วกับการตัดสินใจปุบปับแบบนี้ของผู้หญิงที่กำลังเดินผ่านหน้าเขาไปไวๆ

  ก็รู้อยู่แล้วว่ากำลังตื่นเต้น แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมปริญญาจะต้องเก็บอาการ ทั้งที่เธอกับเขาไม่มีความลับใดต่อกันอยู่แล้ว...ผู้หญิงช่างเป็นอะไรที่เข้าใจยากจริงๆ

  “ถ้ากั้งโทรมา ก็ค่อยโทรบอกเราอีกทีนะ” ปริญญาหันหน้ากลับไปบอกคนที่เพิ่งทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาอีกครั้ง

  “ครับบอส เออ ปิดไฟให้ด้วย” ชายหนุ่มพึมพำหลับตา แต่ก็ต้องมาดีดตัวขึ้นสุดแรง เพราะแทนที่ความมืดสนิทจะมาเยือน มันกลับกลายเป็นสว่างโร่ไปทั้งห้อง เพราะปลายนิ้วกดรูดทีเดียวลงกับสวิซต์ไฟทั้งแผงอย่างตั้งใจของปริญญา มันจึงนำพามาซึ่งตุ๊กตาตัวจิ๋วใกล้มือ ที่พร้อมเหวี่ยงหวือมาถึงต้นคอคนที่ยืนนิ่งอยู่ที่ประตูอย่างแม่นยำ

You may also like

Download APP for Free Reading

novelcat google down novelcat ios down