จางหยางไท้ คุณชายผู้สูงศักดิ์ ที่รักการค้าขายและผลกำไรเป็นที่สุด จากคุณชายในจวน สู่การเป็นพ่อค้า ผู้มีใบหน้าเป็นอาวุธนางคือ สตรีที่ก้าวออกจากตระกูล พร้อมคำกล่าวขานว่าวิปลาส เมื่อการกลับมาเพื่อตอบแทนผลกรรมที่เคยถูกกระทำเมื่อวัยเยาว์ของนาง เป็นรทุกจุดเริ่มต้นของความรักความแค้นในครั้งนี้หรือไม่การโคจรมาพบกันของทั้งคู่มันคือบุพเพหรือชะตากรรมกันแน่
ณ จวนสกุลมู่
“อย่า…ลงโทษพี่ใหญ่อีกเลย เป็นเซียนเอ๋อร์เองที่ผิด จะลงโทษก็ที่ข้าแต่ผู้เดียวเถิด”
เด็กสาวหน้าตาธรรมดา มิได้โดดเด่นหรือความงามอย่างที่พี่น้องคนอื่น กับพฤติกรรมแปลกประหลาดที่นางทำอยู่บ่อยครั้ง ทุกคนในสกุลมู่จึงไม่ใคร่จะอยากยอมรับในตัวของ มู่หลินเซียนเท่าใดนัก
“พอเถอะเซียนเอ๋อร์ พี่ทนได้ ผู้ใดอยากทำอะไรก็เชิญตามสบาย”
เผียะ!
ใบหน้าของมู่หลงเทียนสะบัดตามแรงฝ่ามือของผู้นำตระกูลอย่างมู่ตงซิน ใบหน้าของชายวัยกลางคนเรียกได้ว่ามืดครึ้มลงหลายส่วนเมื่อถูกคำพูดของหลานชายเสียดแทงจิตใจ
“เจ้าช่างกำแหงนัก หลงเทียน หากวันนี้ ข้าไม่ลงโทษเจ้าสอง
พี่น้องให้หลาบจำ คงอับอายคนทั้งสกุลที่มีหลานเช่นพวกเจ้า”
มู่หลินเซียนกำหมัดแน่น ร่างบางโอบกอดปกป้องพี่ชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น เนื้อตัวบอบช้ำจากการถูกลงทัณฑ์กับเรื่องที่เล็กน้อยเท่านั้น
“เรื่องเล็กน้อยกว่าผายลม ไยถึงต้องทำกับพี่ใหญ่ที่เจ็บปวดได้เล่าเจ้าคะ ท่านปู่มิสมกับเป็นผู้นำเลยสักนิด หากวันนี้ พวกข้าสอง
พี่น้องไร้ค่าสำหรับคนสกุลมู่ก็จะหลีกทางไป นับจากนี้ ข้ากับพี่ใหญ่จะมิย่างกรายกลับมาทำให้พวกท่านมัวหมองอีก”
เด็กหญิงวัยเพียงสิบสี่เงยหน้าประสานสายตากับผู้เป็นปู่อย่างไม่คิดหลบ จะให้นางทนถึงเมื่อไหร่กัน แม้แต่พ่อแม่แท้ ๆ ยังมิเคยไยดีนางสองคนพี่น้อง แล้วทำไมนางต้องสนใจด้วยว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร การที่พี่ชายของนางมองไม่เห็นก็มิใช่ความผิดสักนิด แต่เพราะถูกกลั้นแกล้งจากใครบางคนในสกุลมู่ จึงทำให้ดวงตาทั้งสองของพี่ชายมิอาจกลับมามองเห็นได้เช่นเดิม ตัวนางเองเพราะหน้าตาที่ไม่งดงามเช่นน้องสาว และบรรดาญาติคนอื่น ๆ ก็ถูกรังเกียจ ยิ่งนางหมกมุ่นกับการอ่านตำรามากมาย ไม่ฝึกฝนดนตรี ร่ายรำเช่นคนอื่น สุดท้ายจึงกลายเป็นเด็กวิปลาสในสายตาของทุกคน
‘พี่ชายตาบอด ตัวเองเป็นคนเสียสติ ช่างน่าอดสูนัก’
“ปากดีนักนะ…หากเจ้าคิดว่าเก่งจริง ก็ไสหัวออกจากบ้านข้าไปซะ! แล้วอย่าได้ซมซานกลับมาก็แล้วกัน และพวกเจ้าจงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่าอี้ชิ่งคือดวงใจของสกุลมู่ สวะเช่นเจ้าสองคนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเฉียดใกล้”
“เซียนเอ๋อร์…”
มู่หลงเทียนคิดจะเอ่ยเตือนสติน้องสาว แต่เหมือนเขาจะช้ากว่านางหลายก้าว เมื่อ…
“ได้…ไปกันพี่ใหญ่ หากเราไร้วาสนาก็แค่ตาย ดีกว่าทนอยู่กับคนใจดำเช่นอีกาเยี่ยงนี้”
มู่หลินเซียนพยุงพี่ชายให้ลุกขึ้นเมื่อพูดจบ ก่อนจะพากันเดินไปยังหน้าจวนด้วยหลังที่ยืดตรง หากจะไปก็ต้องเป็นตอนนี้ เพราะถ้ากลับไปยังเรือนซอมซ่อท้ายจวนก็ไม่พ้นนางกับพี่ชายต้องทนให้ถูกรังแกต่อไป
‘สุนัขไร้บ้านยังรู้จักเอาตัวรอด ข้าเป็นคนไยจะรอดไม่ได้เล่า’
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ…ลูกไม่รักดี เกิดมาก็นำพาเพียงความอับอายมาให้พ่อแม่ แล้วนี่ยังกล้าสร้างความเสื่อมเสียให้ตระกูลอีกรึ!”
ในที่สุด มู่ต๋าไห่ก็เอ่ยปากออกมา เขากลัวที่สุดคือความอับอาย หากสองพี่น้องก้าวออกจากจวนไป ผู้คนต้องประณามเขาเป็นแน่ที่ใจร้ายกับบุตรชายคนโตและบุตรสาวคนรอง
“ลูกหรือ…ท่านพ่อเรียกพวกข้าว่าลูก ฮา ๆ ช่างน่าภูมิใจนัก ที่ท่านรั้งพวกข้าไว้มิใช่ห่วงใยกระมัง แต่กลัวผู้คนกล่าวขวัญว่าท่านอำมหิตต่อพวกเราต่างหากเล่า หรือที่ข้าพูดมันไม่จริง”
มู่หลินเซียนตั้งใจแน่วแน่แล้ว ว่าจะไม่ยอมทนให้พี่ชายถูกทุบตีจนตาย และนางอยู่อย่างทาสมิใช่ลูกหลานสกุลมู่สักนิด แม้บ่าวไพร่ยังไร้ความยำเกรงต่อพวกนาง ผู้ใดจะกล่าวหาว่าก้าวร้าว ร้ายกาจอย่างไรก็ตามแต่ ตอนนี้ นางมิคิดใส่ใจอีกแล้ว เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้มาทุกข์ทรมานเช่นนางกับพี่ชายเลยแม้แต่น้อย
“จะ…เจ้า หากวันนี้ เจ้าสองคนก้าวพ้นประตูไปก็อย่าได้เรียกข้าว่าพ่อ และพวกเจ้ามิใช่คนสกุลมู่อีก!”
มู่ต๋าไห่มั่นใจว่า อย่างไรเสีย สองพี่น้องก็ไม่กล้าออกจากจวนไปแน่นอน เพราะไร้เงินทองของมีค่าติดตัวย่อมยากที่จะเอาชีวิตรอดได้ ผู้เป็นพ่อแอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ทว่า…
“พี่ใหญ่…เซียนเอ๋อร์ขอโทษที่ทำให้เรื่องเป็นเช่นนี้ เซียนเอ๋อร์ขอให้พี่ใหญ่วางใจน้องสาวคนนี้สักครั้ง จะได้หรือไม่เจ้าคะ”
มู่หลินเซียนเอ่ยเบา ๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคนกับผู้เป็นพี่
“เอาเถอะ! น้องพี่ ไม่ว่าเราจะอยู่หรือไป มันก็มีค่ามิแตกต่างกัน บางที การออกไปจากที่นี่ เราอาจมีโอกาสได้หายใจได้อย่างเต็มปอดก็เป็นได้ จริงหรือไม่” มู่หลงเทียนโอบรัดไหล่บอบบางของน้องสาวแน่นขึ้น มือหนาบีบเบา ๆ ยังตนแขนบางเพื่อเป็นการยืนยันคำพูด
สองพี่น้องก้าวเดินต่อไปอย่างช้า ๆ แต่หนักแน่น ไหล่ของทั้งคู่ยืดตรง ไม่แม้แต่จะห่อลงให้เสียเกียรติ อยู่อย่างอดสูสู้ออกไปตายเอาข้างหน้ายังจะดีเสียกว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้น นางรู้ว่าเป็นฝีมือน้องสาวแท้ ๆ ของนางเอง รวมทั้งน้องชายคนเล็กที่ก้าวขึ้นมายืนในตำแหน่งแทนพี่ชายในฐานะทายาทของผู้เป็นบิดามู่ต๋าไห่