กิ๊ก! คำเดียวที่เคยทำร้ายจิตใจพวกเธอ กลับมาทำร้ายกันอีกครั้งอย่างเต็มใจ เมื่อต่างเผลอปล่อยใจให้กันเสียเอง เพราะความอ่อนไหว ที่ทำให้เกิดความยุ่งเหยิง...เพราะความสับสน ที่ทำให้ต้องต่อต้านกับความรู้สึก...เพราะรักซึมลึก ที่ต้องเล่นด้วยอารมณ์รักซ่อนเร้น...
เวลาบ่ายแก่ๆ กับเก้าอี้ไม้ตัวยาวในสวนสาธารณะกลางกรุงแห่งนี้ เหมือนจะกลายเป็นเพื่อนสนิทของสาวอารมณ์เศร้าอย่างมนต์ลดาเข้าไปทุกที...เธอชอบที่จะมานั่งทิ้งอารมณ์อันหนักอึ้งให้หายไปกับสายลมอยู่ที่นี่เสมอ
นั่งลำพังจับเจ่าคิดถึงแต่เรื่องเดิมๆ เหมือนชีวิตจะสัมผัสได้เพียงความเหงาและโดดเดี่ยว ทั้งที่รายล้อมรอบกายมีผู้คนมากมาย แต่ทำไมเหมือนมือที่เอื้อมคว้าจะสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า...แม้แต่คนสำคัญที่เคยคิดว่าเขาจะเป็นทุกอย่าง มาบัดนี้กลับมีเพียงความเฉยชา เหมือนอยากจะทิ้งห่างกันออกไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ทำราวกับมีบางสิ่งกำลังปิดบังเธออยู่ ส่วนเธอเองก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา ที่ยังเต็มไปด้วยความระแวงสงสัย เมื่อถามแล้วไม่ได้คำตอบ เธอจึงต้องกลับมานั่งถกอยู่กับความคิดตัวเอง จนเกิดเป็นความว้าวุ่นใจอยู่อย่างนี้ไงล่ะ
วันนี้อากาศค่อนข้างเย็นสบาย จึงเพลินคิดไปถึงครั้งแรกที่พบกับพงศธร แฟนหนุ่มที่คบหากันมาได้เกือบปี...เขาเป็นชายหนุ่มอารมณ์ดีที่เธอหลงรักตั้งแต่แรกพบ เพราะความที่เป็นหนุ่มเนื้อหอม เธอจึงตัดสินใจร่วมวงแย่งชิงเขามาจากหญิงสาวอีกหลายคนที่กำลังรุมล้อมเขาอยู่ในขณะนั้น
สุดท้ายก็เป็นเธอที่ได้เขามาครอบครอง ฟังดูเหมือนเรื่องราวทุกอย่างจะจบลงอย่างสวยงาม แต่อะไรก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ใจเธอต้องการเสียทั้งหมด เพราะความเจ้าเสน่ห์ของเขา ยังคงทำให้เธอหาความสงบในรักไม่ได้จนทุกวันนี้
เมื่อกลับมาอยู่กับตัวเองนิ่งๆ ปล่อยใจไปกับท้องฟ้าสายลม หยุดพักเรื่องของเขาคนนั้นได้ไม่นาน รอยยิ้มก็พิมพ์ขึ้นที่แก้มบุ๋ม คล้ายจะเป็นวิธีจิตบำบัดที่เธอเพิ่งค้นพบด้วยตัวเองได้เมื่อไม่นานมานี่เอง
เป็นอีกครั้งที่อารมณ์ล่องลอยกำลังดึงหน้าจิ้มลิ้มให้ยิ้มพรายไปกับฟองสุนทรีย์ที่ลอยฟูฟ่องรอบกาย แต่แล้วจู่ๆฟองสดใสก็มีอันต้องแตกกระจาย เมื่อเก้าอี้ที่กำลังนั่งอยู่ถูกเขยื้อนให้อารมณ์เสียหลัก เพราะแรงกระแทกทิ้งตัวลงนั่งของใครบางคน ที่ดึงสายตาของเธอให้หันขวับไปหาทันที
และที่ประจักษ์แก่สายตาก็คือสาวมาดเซอร์ผู้มากับท่าทางสบายๆ ผมยาวดำขลับของผู้มาใหม่ถูกรวบเป็นหางม้าตึงเปรี๊ยะเผยใบหน้าใสปิ๊ง จากที่คิดจะส่งสายตาเขียวปั๊ดไปให้กลับกลายเป็นเจ้าถิ่นเองที่ถูกใบหน้าคมคายนั้นตรึงไว้กับจมูกโด่งเป็นสันที่รับดวงตากลมโต เล่นเอาคนถูกมองเริ่มขยับแข้งขาในยีนสีซีดมอมๆอย่างอึดอัด
เพียงปราดเดียวของการสำรวจ มนต์ลดาก็ดูออกว่ายีนตัวนี้ถูกใส่มาแล้วไม่ต่ำกว่าสามครั้งเป็นอย่างน้อย แอบคิดไปไกลว่ามันคงไม่ค่อยญาติดีกับผงซักฟอกสักเท่าไรนัก...สายตาสำรวจที่ทำงานต่อเนื่อง ยังคงไล่ไปตามเชิ้ตลายสก๊อตสีน้ำเงินเข้มที่สวมทับเสื้อยืดขาวตัวเล็ก เครื่องแต่งกายแบบนี้หากอยู่บนร่างหนุ่มแน่นคงจะสมาร์ตไม่เบา แต่แปลกที่ผู้หญิงคนนี้กลับผสมความหวานที่แฝงความทะมัดทะแมงไว้อย่างน่ามอง ดูลงตัวไม่ขัดตากลายเป็นสาวเท่เร้นเสน่ห์ให้เธอเผลอมองอย่างลืมตัว
ขณะเดียวกัน อาการตวัดสายตาขึ้นลงอย่างไม่เกรงใจนั้นก็กำลังทำให้อีกคนออกอาการนั่งไม่ติด และแก้เขินด้วยการหยิบกระเป๋าเป้สีดำมาแนบตัว ก่อนจะค่อยๆขยับไปจนชิดที่วางแขนอีกฝั่ง
ศศิกานต์ที่เพิ่งมา ถึงกับนั่งถูมือไปมากับกระเป๋าพลางถอนหายใจเพื่อรวบรวมสติ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจหันไปยิ้มให้อีกคนอย่างอยากจะผูกมิตร แต่สาวคนนั้นกลับทำเพียงยิ้มแหยให้เท่านั้น เพราะเวลานี้ความเป็นส่วนตัวของมนต์ลดากำลังถูกลิดรอน อารมณ์จะยิ้มให้กว้างกว่านี้ก็เห็นจะทำไม่เป็น ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆกับใบหน้าสดใสที่คิ้วเข้มๆนั้นดึงสายตาให้เหลือบไปมองก็เถอะ
“เหนื่อยจัง เฮ้อ!”
สาวเซอร์ทำเป็นบ่นขึ้นมาลอยๆ หลังจากที่ได้รับยิ้มแห้งแล้งจากผู้หญิงหน้าอาโนเนะอย่างคาดไม่ถึง
ครั้นอีกฝ่ายยังนิ่งเงียบ เธอจึงทำเป็นดึงเอาถุงขนมออกมาเคี้ยวแก้เก้อดังกร๊วบๆ โดยมิได้เจตนาจะให้กลิ่นหอมของมันไปกะเทาะต่อมหิวผู้ใด แต่ก็น่าอายนักที่น้ำลายไม่รักดีของอีกคนกลับพุ่งปรี๊ดให้ต้องกลืนมันลง ก่อนจะเบือนหน้าหนีหลบไปอีกทางทันที
“นั่งคนเดียวทุกวันเบื่อมั้ยคะ?” ศศิกานต์ถามยิ้มๆ ทั้งที่ยังเคี้ยวขนมอยู่เต็มปาก
นานแล้วที่เธอเห็นผู้หญิงคนนี้มานั่งหน้าเศร้าอยู่ที่เก้าอี้ตัวนี้ เหมือนกับที่เธอเองก็จะไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวในฝั่งตรงข้ามของสระน้ำ
วันนี้แค่นึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศหาที่นั่งใหม่ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้รับการต้อนรับที่เป็นกันเองอย่างนี้ และท่าทางที่แลดูหยิ่งของอีกคน ก็ทำให้นึกอยากจะเอาชนะเหลือเกิน แต่เธอก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ ว่าการมาของตัวเองได้สร้างความไม่พอใจให้กับคนที่มาก่อนหน้าพาลเบื่อที่จะตอบคำถาม เพราะต้องการที่จะอยู่เงียบๆเพียงลำพัง และที่แน่ๆมนต์ลดาเกลียดนักเชียวกับกลิ่นหอมๆนั่น เพราะมันกำลังจะทำให้เธอตบะแตกอยู่แล้วเชียว
“รำคาญเหรอ เราไปนั่งที่อื่นก็ได้นะ” ศศิกานต์พูดอย่างเดาใจอีกฝ่ายได้ไม่ยาก แต่ก็ยังยิ้มกวนอย่างอารมณ์ดี แม้อีกคนจะทำหน้าเหวอใส่คำพูดตรงๆนั้นแทบจะทันที
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันก็จะไปแล้วเหมือนกัน” มนต์ลดาตัดสินใจพูดออกไปก่อนจะถูกสวนกลับให้อึ้งด้วยคำพูดกวนๆ “พูดได้ด้วยเหรอ”
“เอ๊ะ!คุณนี่ ถ้าคิดว่าเป็นคนใบ้ แล้วมาชวนคุยทำไม!”
“โอเคค่าาา... รู้แล้วว่าไม่ได้เป็นใบ้และแถมยังดุด้วย ฮิฮิ” ศศิกานต์ยังแกล้งหัวเราะร่วนกวนประสาทไม่หยุด
“นี่คุณ!” คนแสนงอนพูดได้แค่นั้นก็คิดอะไรไม่ออก ร่างเล็กในชุดกระโปรงสั้นจึงรีบลุกขึ้นอย่างสุดจะทน
“อ้าว...จะไปแล้วเหรอคะ กินด้วยกันมั้ย? เห็นกลืนน้ำลายไปหลายอึก อร่อยดีนะ”
คนที่นั่งอยู่ยังยั่วโมโหไม่เลิก มนต์ลดาที่โดนรู้ทันถึงกับหน้าแดงก่ำ แรงบีบหัวใจเริ่มเร่งจังหวะถี่ ได้แต่ส่งสายตาแค้นฝังลึกให้อีกคนทำตาลุกวาวใส่ ก่อนจะรีบสะบัดหน้าพรืดเดินหนีไปด้วยหัวใจอันเดือดปุด
“พรุ่งนี้เจอกันอีกนะคะ กล้ามั้ย!” ศศิกานต์ตะโกนท้าเสียงดัง แต่คนที่เดินลิ่วยังคงแกล้งทำเฉย ทั้งที่ภายในใจแทบจะปะทุลาวาแห่งความโกรธออกมาหลอมใครต่อใคร ที่บังเอิญเดินผ่านรัศมีเดือด!
เมื่อสาวหน้าญี่ปุ่นจากไป ศศิกานต์ก็กลับมานั่งยิ้มอยู่คนเดียว ไม่รู้ทำไมถึงอยากแกล้งผู้หญิงแสนงอนคนนี้เสียจริง
หลายวันแล้วเหมือนกันที่เธอนั่งเล่นบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวในฝั่งตรงข้าม และทุกครั้งก็จะเห็นผู้หญิงคนนี้มานั่งหน้าเศร้าอยู่ที่เดิมและเวลาเดิมเสียด้วย คิดว่าคงจะเจอกับปัญหาหัวใจเหมือนๆกัน หรือคนรักนอกใจเหมือนกับที่เธอกำลังเจออยู่ตอนนี้ เพราะเรื่องแบบนี้ถ้าเกิดกับใครก็มักจะมีอารมณ์ไม่ต่างกัน เศร้าๆ เหงาๆ หงอยๆ เหมือนกับที่เธอเคยเจอมาหลายครั้งหลายครา แต่พอเจอทีไรก็เจ็บทุกครั้ง เพียงแค่ความเจ็บมักจะสวนทางกับจำนวนครั้งที่เจอแค่นั้นเอง