About
Table of Contents
Comments

  “ครับ ที่จบไปเป็นการพูดของสึบาสึกิ ไอ จากโรงเรียนมัธยมปลายโทยามะ ผู้เข้าแข่งขันคนสุดท้ายครับ ขอเสียงปรบมือให้แก่สาวน้อยคนเก่งของเราด้วยครับ...”

  สิ้นเสียงประกาศของพิธีกร เสียงปรบมือก็ดังก้องหอประชุมมหาวิทยาลัยเกียวโต รอยยิ้มที่ฉายอยู่บนใบหน้าของผู้ฟัง คณาจารย์ และคณะกรรมการ ทำให้เจ้าของชื่ออย่างฉันหัวใจพองโต แถมยังรู้สึกว่าตัวเองดูมีภาษีกว่าคนอื่นๆ ด้วย

  “ไอจัง! เธอพูดได้ยอดเยี่ยมมากเลย รู้ตัวหรือเปล่า”

  ทันทีที่ฉันเดินลงมาที่หลังเวที ฮานะจัง หรือ ซุคินะ ฮานะ ลูกสาวอาจารย์ใหญ่และเป็นเพื่อนสนิทของฉันก็วิ่งเข้ามากอด เรียกสายตาหลายคู่ให้หันมามองทันที

  “ ฉันก็ทำดีที่สุดนั่นแหละ” ฉันรีบผละออก แล้วรุนหลังฮานะจังออกไปจากตรงนั้น ก่อนที่ใครต่อใครจะหันมาดูมากกว่านี้ แต่น่าแปลกที่ฉันยังรู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องมองฉันจากทางด้านหลัง มันทำให้ฉันต้องหันกลับไปมอง แล้วก็พบคนคุ้นเคยที่ยืนอยุ่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนๆ ด้วยรูปร่างสูงยาวเข่าดีแบบลูกครึ่งตะวันตก

ทั้งที่เป็นญี่ปุ่นแท้ๆ

ดวงตาเรียว จมูกโด่ง และผมสีน้ำตาลเข้ม ทำให้เขาดูโดดเด่นกว่าคนอื่นมากทีเดียว

  “...อ๊ะ! พี่เคนยะ”

  คนที่ฉันมองอยู่ คือ เรียวโย เคนยะ นักศึกษาปีสอง มหาวิทยาลัยเกียวโต เขาเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนที่ฉันเรียน แถมบ้านยังอยู่ในละแวกเดียวกันอีกด้วย

แต่อตนนี้พี่เขาย้ายไปอยู่ที่หอพักใกล้มหาวิทยาลัยแล้วล่ะ

  “เ—ยี่—ย—ม—ม—า—ก” พี่เคนยะพูดโดยไม่ออกเสียง พร้อมยกนิ้วโป้งให้ หัวใจที่พองโตเมื่อครู่ ทำให้หัวใจของฉันเต้นรัวเป็นเสียงกลอง

  ทำไมน่ะเหรอ?

  ก็แชมป์การแข่งขันพูดสุนทรพจน์เมื่อ 2 ปีก่อนชมซะขนาดนี้ ก็แปลว่าโอกาสที่ฉันจะได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนระดับภาคมีสูงน่ะสิ บอกแล้วว่าไอจังทำได้!

  “มัวยิ้มหวานอยู่นั่นแหละ แค่นี้รุ่นพี่เคนยะก็หลงเธอหัวปักหัวปำแล้ว”

  “แหม! ฮานะจังก็พูดเกินไป” ฉันหันไปค้อนควัก แต่สุดท้ายก็หลุดขำกันเองจนได้

  “ไปกินของว่างกันเถอะ เรามีเวลาพักแค่ครึ่งชั่วโมงก่อนประกาศผลนะ อ๊ะ! อาจารย์ซากุระเดินไปโน่นแล้ว”

  “อื้ม!” ฉันพยักหน้าแล้วเดินตามฮานะจังไป

  แต่ทำไมน้า... ถึงยังรู้สึกเหมือนกำลังจับตามองอยู่อีก...

  “สึ—บา—สึ—กิ—ไอ”

  อยู่ๆ เสียงเรียกชื่อ—นามสกุลของฉันก็ดังแว่วมาเข้าหู มันเป็นเสียงผู้ชายที่ฉันไม่คุ้นหู มัทำให้ฉันต้องหันกลับไปมอง และ...

  ห่างจากจุดที่ฉันยืนอยู่ไม่กี่ก้าว มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังมองมาที่ฉันเดาว่าคงเป็นนักศึกษาของที่นี่เหมือนกัน และที่สำคัญ! หน้าตาของเขาหล่อชวนกรี๊ดพอๆ กับพี่เคนยะเลย!

  กรี๊ด! เขาส่งยิ้มให้ฉันด้วย เอ๊ะ! หรือว่าคนอื่น... ไม่หรอก! ไม่! ไม่! ไม่! ก็ตอนนี้มีฉันคนเดียวที่ยืนสบตากับเขานี่นา!

  “ไอจัง! มัวยืนทำอะไรอยู่น่ะ” ฮานะจังป้องปากเรียกเสียงดัง ทำให้ฉันสะดุ้งตื่นจากภวังค์

  ฉันหันไปมองเพื่อน ก่อนจะหันกลับไปมองผู้ชายคนนั้นอีกที แต่ว่า... เขาหายไปแล้ว เอ... หรือว่าฉันตาฝาด ฉันตาฝาดงั้นเหรอ แล้วทำไมใบหน้าของเขาถึงยังติดอยู่ในสมองของฉันล่ะ...

  “ไอจัง! เป็นอะไรไปน่ะ”

  คราวนี้เสียงฮานะจังดังขึ้นข้างหู ยังไม่ทันทีที่ฉันจะได้ตอบคุณเพื่อนรักก็จัดการลากฉันให้เดินออกไปทั้งที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ทำเอาคนรอบๆ ตัวเราสองคนหันมามองพร้อมรอยยิ้ม

  โธ่! ไอจังผู้น่าสงสาร นี่ฉันกลายเป็นตัวตลกของงานไปแล้วเหรอเนี่ย!?

  หลังจากพักทานอาหารว่างเสร็จเรียบร้อย เหล่าผู้เข้าแข่งขันการกล่าวสุนทรพจน์ก็ถูกเรียกตัวขึ้นไปยืนบนเวที เพื่อรอการประกาศผล

  นี่ความลับนะ... ฉันตื่นเต้นจนตัวสั่น มือเย็นเฉียบไปหมดแล้ว!

  “...และผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนการแข่งขันการกล่าวสุนทรพจน์รณรงค์เรื่องการท่องเที่ยวภายในประเทศญี่ปุ่นระดับภาค กลุ่มเกาะฮอนชู ได้แก่... สึบาสึกิ ไอ จากโรงเรียนมัธยมปลายโทยามะครับ”

  สิ้นเสียงประกาศ เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องขึ้นอีกครั้ง ยิ่งทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงจนแทบจะกระโดดออกมา จนฉันต้องสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อระงับความประหม่า ก่อนจะเดินออกไปหน้าเวทีอย่างสง่าผ่าเผย

  หลังจากรับรับเกียรติบัตรและรางวัลจากประธานกรรมการตัดสิน พิธีกรก็ให้ฉันบอกเล่าความรู้สึก ฉันจึงต้องหอบรางวัลเดินไปยืนหลังโพเดียมด้วยความตื่นเต้น ท่ามกลางสายตาของคนทั้งหอประชุมซึ่งล้วนเงียบกริบและมองมาที่ฉันเป็นตาเดียว

  “ดีใจและภาคภูมิใจมากค่ะ ที่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนเป็นรุ่นที่สาม ต่อจากนี้ดิฉันจะพยายามฝึกฝนการพูด และค้นหาข้อมูลไว้ใช้ในการแข่งขันระดับประเทศ เพื่อคว้ารางวัลมาให้กลุ่มเกาะฮอนชูของเราให้ได้ สุดท้ายนี้ ดิฉันขอขอบคุณอาจารย์ซากุระ บุคคลสำคัญที่ทำให้ดิฉันได้ขึ้นมายืนตรงนี้ และขอขอบคุณคณะกรรมการทุกท่านที่ให้โอกาสดิฉัน... ขอบคุณค่ะ”

  ฉันโค้งรับเสียงปรบมือของทุกคน บัดนี้ความประหม่าได้หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความตื่นเต้นยินดีในความสำเร็จ ทีนี้ก็เหลือการแข่งครั้งสุดท้ายล่ะ!

  ฉันส่งยิ้มพลางกวาดตามองผู้ฟังไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดกับคนคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่แถวหน้าสุด ไม่ใช่พี่เคนยะ... แต่เป็นคนที่นั่งข้างๆ เขาต่างหาก

  เขาคือผู้ชายที่เรียกชื่อฉันตอนพักเบรกนี่ งั้นก็แสดงว่าฉันก็ไม่ได้ตาฝาดสินะ

  เขากำลังคุยกับผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอต้องเป็นแฟนของเขาแน่ ว้า! ฉันไม่อยากยุ่งกับคนมีเจ้าของแล้วหรอกนะ ถึงแม้ว่า... เขาจะหันมายิ้มให้ฉันอีกแล้วก็เถอะ

  เห็นแบบนั้นฉันก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ แล้วทันใดนั้น คุณแฟนสาวของเขาก็หันขวับมาจ้องหน้าฉันด้วยแววตาคมกริบ ทำเอาฉันถึงกับเหวอ ยิ้มค้างเลยทีเดียว

  โชคดีที่พิธีกรพูดปิดงานเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงมีคนสังเกตเห็นอาการผิดปกติของฉันแน่ๆ ก็แหม การถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลามันน่าอึดอัดไม่ใช่เหรอไม่ว่าจะยิ้มหรือข่มขู่ทางสายตาก็เถอะ

  “ครูโทรไปบอกอาจารย์ใหญ่แล้วนะ ท่านบอกว่าให้เตรียมฉลองได้เลยจ้ะ ท่านจะจัดเลี้ยงให้ก่อนปิดเทอม”

  อาจารย์ซากุระเข้ามาบอกฉันทันทีที่เสร็จสิ้นพิธีมอบรางวัล เป็นข่าวดีเสียจนฉันกับฮานะจังเผลอกระโดดกอดกันเหมือนเป็นเด็กประถม

  “เคนยะคุงก็ไปกินเลี้ยงด้วยกันนะ ใกล้ปิดเทอมแล้วเหมือนกันใช่ไหม?” อาจารย์ซากุระหันไปถามพี่เคนยะที่เดินเข้ามาตอนไหนก็ไม่รู้ ฉันกับฮานะจังเลยต้องรีบเลิกทำท่าไม่เหมาะกับวัยทันที

  “ครับ ขอบคุณอาจารย์มากๆ นะครับที่ชวนผม” เขาตอบ ก่อนจะหันมามองฉัน “เมื่อกี๊พูดได้ดีมากเลยนะ นึกว่าจะตื่นเต้นจนชนโพเดียมล้มซะอีก แล้วยังอะไรอีกน้า... อ๋อ สะดุดขาตัวเองจนกลิ้งตกบันไดตอนลงเวที หรือไม่ก็ลื่นจับกบบนเวทีเพราะดันใส่รองเท้าไม่มีดอก” พี่เคนยะยกวีรกรรมเก่าตอนอยู่ ม.ต้นของฉันขึ้นมาแฉซะหมดเปลือก

  “ไอจังไม่ได้เฟอะฟะอย่างนั้นแล้วนะ! พี่ก็ล้อกันอยู่ได้!” ตอนนี้ฉันอยู่ ม.ปลายปีสุดท้ายแล้วนะ ไม่มีทางเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกแน่

มั้ง

  “โอ๋...โกรธเหรอ เอาล่ะๆ จะไม่ล้อแล้ว หายโกรธหรือยัง?” เขาง้อฉันเหมือนตอนเด็กๆ ที่เรามักจะไปไหนมาไหนด้วยกัน แล้วจบลงที่ความเฟอะฟะของฉันที่โทษว่าเขาเป็นต้นเหตุ

  “ไม่ล้อแล้วจริงๆนะ?” ฉันแกล้งทำหน้าตูมต่อไป ไม่ใช่เพราะสนุกที่ได้แกล้ง แต่การมีใครสักคนมาตามง้อเรา มันรู้สึกดีจริงๆ นะ

  “จริงสิ ไอจังหายโกรธเถอะนะ” พี่เคนยะเรียกฉันเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่น่าแปลกที่เขาไม่เรีกแทนตัวเองว่าพี่อีกแล้ว สงสัยจะกลัวแก่

ฮิๆ

  “ไอจังไม่ได้โกรธพี่หรอก ก็เห็นชอบง้อเลยให้ง้อไปเรื่อยๆ”

  “เจ้าเล่ห์นักนะ” เขาโคลงหัวฉันเบาๆ ส่วนฉันน่ะเหรอ ยิ้มรับคำชมนั้นน่ะสิ

  “อาจารย์ซากุระ สวัสดีครับ”

  “อ้าว! ริวคุง ไม่เจอกันนานเลยนะ เป็นไง สบายดีไหมคุณแชมป์ปีแรก”

  เสียงอาจารย์ซากุระคุยกับใครอีกคนลอยมาเข้าหู คำว่า ‘แชมป์ปีแรก’ทำให้ฉันอยากเห็นหน้ารุ่นพี่คนนี้ขึ้นมาทันที เพราะได้ข่าวว่าตอนเข้าแข่งขัน พี่เขาอายุน้อยที่สุด แต่ก็ยังได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศด้วย

  พอหันไปเห็นเจ้าของตำแหน่งแชมป์ปีแรก ฉันก็ถึงกับตะลึงไปพักใหญ่ทีเดียว รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ผิวขาว ผมสีดำสนิท แววตาอ่อนโยนกับใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร เสริมให้ดูหล่อแบบญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น

  และที่สำคัญ! เขาคือคนที่นั่งยิ้มให้ฉันตอนขึ้นรับรางวัลนั่นเอง!

  “อาจารย์ใหญ่ให้เชิญแชมป์สองปีแรกไปกินเลี้ยงด้วยนะ เผื่อรัศมีแชมป์ระดับประเทศจะซึมเข้ารุ่นน้องของเราบ้าง” อาจารย์ซากุระพูดต่อ

  “ไม่ต้องมีพวกผม ไอจังก็ชนะได้สบายๆ อยู่แล้วล่ะครับ จริงไหมเคนยะ?” รุ่นพี่ริวหันไปถามพี่เคนยะ ซึ่งเขาก็ตอบรับแบบขรึมๆ

  “เธอรู้จักรุ่นพี่ริวด้วยเหรอ เรียกชื่อเธอซะอย่างกับซี้กันแน่ะ” เสียงฮานะจังที่กระซิบอยู่ข้างหู ทำให้ฉันตื่นจากภวังค์

  “ พึ่งเคยเห็นวันนี้แหละ ที่เขาเรียกแบบนี้คงเพราะได้ยินอาจารย์ซากุระพูดมั้ง ฮานะจังก็รู้นี่ว่าฉันไม่ค่อยได้ติดตามข่าวในโรงเรียนเท่าไหร่”

  “นั่นสิ” ฮานะจังจังพยักหน้าอย่างแข็งขันเกินไปแล้วนะ

  เฮ้อ! แต่นั่นน่ะมันคือความจริงนี่นา เรื่องที่ฉันได้เป็นตัวแทนห้องมาแข่งขันพูดสุนทรพจน์กับนักเรียนในโรงเรียน แล้วผ่านเข้ารอบมาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะโดนจี้เอว จนสะดุ้งลุกขึ้นยืนระหว่างที่อาจารย์ซากุระขออาสาสมัคร ฉันถึงต้องพยายามทำให้ดีที่สุด ไม่ให้ทุกๆ คนผิดหวัง

  “บ่ายโมงกว่าแล้ว สองสาว กลับกันได้แล้วล่ะจ้ะ” อาจารย์ซากุระหันมาบอกเราสองคน ก่อนจะหันไปทางพี่ทั้งสองอีกครั้ง “ยังไงก็ไปกินเลี้ยงให้ได้นะ แล้วครูจะนัดวันเวลาอีกที”

  “ครับ” ทั้งคู่ตอบรับพร้อมกัน

  “เจอกันตอนปิดเทอมนะ” พี่เคนยะบอกฉัน

  “พี่จะกลับบ้านเหรอ! คุณลุงคุณป้าคงเลี้ยงฉลองสิบวันสิบคืนแน่ๆ” ฉันได้ทีล้อกลับไปบ้าง

  “พูดซะอย่างกับว่าฉันทอดทิ้งพ่อแม่อย่างนั้นแหละ ก็เห็นอยู่ว่ามาเรียน จะให้กลับบ้านทุกวันเหมือนตอนเรียนอยู่ที่โทยามะได้ไง รู้หรือเปล่าว่าต้องเรียนหนักขนาดไหนเนี่ย” เขาพูดเหตุผลที่ไม่กลับบ้านเกือบ 2 ปีเสียยืดยาว น้ำเสียงมีแววน้อยใจปนอยู่ ไม่เคยรู้เลยแฮะว่าพี่เคนยะขี้ใจน้อยเหมือนกัน

  “ก็เห็นปิดเทอมปีที่แล้วไม่กลับมานี่นา เลยนึกว่าปีนี้ก็จะไม่กลับด้วย อย่างอนน่า เดี๋ยวพอพี่กลับมาไอจังจะเลี้ยงขนม โอเคนะคะ!” พูดจบ ฉันก็รีบก้าวขึ้นรถแล้วปิดประตูทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อล้อต่อเถียง ต่อรอง หรืออะไรต่างๆ นานาอันอาจจะเกิดขึ้นตามมาอีกระลอก

  “ริววว! มาอยู่นี่เอง ปล่อยให้อามิตามหาตั้งนาน” เสียงแหลมบาดหูดังลอดเข้ามาถึงในรถ จนทั้งอาจารย์ซากุระ ฮานะจัง และฉันต้องหันไปมองต้นเสียง

  “ยายรุ่นพี่ซาชิมินี่! ยังไม่เลิกตามตื๊อรุ่นพี่ริวอีกเหรอเนี่ย!?” ฮานะจังพูดขึ้นคล้ายกับว่ารู้จักพี่สาวคนนี้ดีถึงดีมาก จริงสินะ เรื่องข่าวสารนี่ต้องยกให้อานะจังเลยล่ะ จะทะแม่งๆ ก็ตรงชื่อนี่แหละที่ทำให้ฉันเกิดคำถาม

  “เขาชื่อซาชิมิเหรอ ทำไมฉันได้ยินว่าอามิล่ะ หรือว่าฉันหูไม่ดี?”

  “เขาก็ชื่ออามินั่นแหละ แต่จะเรียกว่าซาชิมิหรือซูชิก็ไม่ผิดหรอก ดูเอาเองก็แล้วกัน คนอะไร้ หน้าตาเหมือนปลาดิบคืนชีพ!”

  ฉันมองตามที่ฮานะจังบอก รุ่นพี่ซาชิมิที่ว่านี่แต่งหน้าหนาเตอะจนดูซีดเซียว เปลือกตาทาอายแชโดว์สีฟ้า แถมปัดมาสคาร่าสีน้ำเงินด้วยแฮะ ส่วนปากก็ทาลิปสติกสีชมพูแจ๊ดเชียว

  อืม...ดูไปดูมาก็คล้ายปลาดิบคืนชีพจริงๆ นั่นแหละ

  “โมชิกะ อามิ ประธานฝ่ายกิจกรรมระดับ ม.ปลายเมื่อสองปีก่อน เขาเป็นคนมีความสามารถนะ แต่ก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน” อาจารย์ซากุระพูดขึ้นบ้าง

  “ก็เมื่อก่อนเขาโบ๊ะแป้งแทนรองพื้นนี่คะอาจารย์ ถึงยังไงก็เหมือนปลาดิบอยู่ดี น่าจะชื่อ ‘ซาชิมิ ซูชิ’ มากกว่า”

  ดูท่าทางฮานะจังจะอคติกับรุ่นพี่อามิเอามากๆ ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร แต่ก็แทบสำลักกับชื่อ — นามสกุลใหม่ที่ได้ยิน คนอะไรชื่อ ‘ปลาดิบ – ข้าวหน้าปลาดิบ’ เฮ้อ! ไม่ไหว... ไม่ไหว…

  “โกรธแค้นอะไรเขาจ๊ะฮานะจัง ท่าทางไม่เลิกราง่ายๆ นะเราน่ะ” อาจารย์ซากุระถามเหตุผลแกมปรามๆ

  “ความดีเขาเยอะจะตายค่ะ อาจารย์อยากให้หนูยกขึ้นมาบรรยายหรือคะ หนูกลัวอาจารย์จะฟังไม่ทัน ไม่อยากคิดเล้ย... ว่าที่ ม.โตเกียวนี่ ชื่อเสียงโรงเรียนมัธยมปลายโทยามะจะเสื่อมเสียไปมากขนาดไหนแล้ว”

  ฉันได้แต่ชำเลืองมองฮานะจังที่นั่งกอดอกหน้าตาบึ้งตึงอยู่เบาะหลัง ก่อนจะเปลี่ยนมาชำเลืองมองอาจารย์ซากุระที่ง่วนอยู่กับการถอยรถ จากนั้นก็หันไปมองพี่เคนยะที่ยืนมองรถที่พวกเรานั่งตาละห้อย

  “บ๊ายบายค่ะ” ฉันขยับปากพร้อมโบกมือให้เขา คงมีฉันคนเดียวล่ะมั้งที่ยังอารมณ์ดีได้อยู่

  “ไปกันเถอะริว ทางโน้นมีอะไรน่าดูกว่าแน่ะ!”

  เสียงรุ่นพี่อามิดังลอดเข้ามาอีก ฉันเลยอดหันไปมองไม่ได้ตามวิสัยของมนุษย์ผู้อยากรู้อยากเห็น เห็นรุ่นพี่ริวกำลังถูกดึงให้เดินตามไป ทั้งๆ ที่ท่าทางไม่อยากไป แต่ก็ไม่อยากขัด

  ตอนที่รถแล่นผ่าน ฉันส่งยิ้มให้พวกเขาด้วย แต่ไม่มีใครยิ้มตอบ เลยกลายเป็นว่าฉันยิ้มเก้อไปเลย เฮ้อ! นี่ฉันคงอารมณ์ดีอยู่คนเดียวจริงๆ ล่ะมั้งเนี่ย... แย่จังเลย

You may also like

Download APP for Free Reading

novelcat google down novelcat ios down