About
Table of Contents
Comments

  ชีวิตมีค่า

ไถ่

  เสียงวี๊ว่อๆๆๆ ทำให้ผมต้องพุ่งไปอย่างเร็ว

  เพราะอัตนัยเป็น “อาสาสมัครกู้ภัย” ให้กับ “มูลนิธิป๋อไต๋” ซึ่งเป็นมูลนิธิช่วยเหลืออุบัติเหตุบนท้องถนนมายาวนานกว่าห้าสิบปี

  กะของอัตนัยคือ หกโมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน

  ส่วนกลางวัน อัตนัยต้องเรียน ขณะนี้เขาอยู่ปี 2 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยของรัฐ

  ว่างจากการเรียน อัตนัยอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ จึงมาทำงานนี้ คำว่า “อาสาสมัคร” เราไม่ได้เงินสักบาท แต่ถ้าจะมีคนเข้าใจเราผิด

  มันก็เป็นเรื่องของเขา!!

  ไม่นานรถของมูลนิธิป๋อไต๋ ก็ไปถึงจุดเกิดเหตุ

  นี่เป็นการทำงานในฐานะอาสาสมัครครั้งแรก อัตนัยจินตนาการความพัง ว่ามันจะมากกว่านี้

  มีพลเมืองดีแจ้งเหตุรถเก๋งขับชนรถตู้บนทางด่วน รถตู้เสียหลักชนกับข้างทาง ท้ายรถยับเยิน ในนั้นมีผู้โดยสารจำนวนมาก

  “มีใครเป็นอะไรบ้างครับ” อัตนัยในชุดอาสาสมัครสีกรมท่า ถามผู้โดยสารที่มายืนออ ตากลม บนถนนยกระดับ

  ทั้งหมดเล่นมือถือ หันมามองอัตนัย ก่อนจะก้มหน้าเล่นต่อไป

  “ใครเป็นเจ้าของรถคันนี้ครับ” อัตนัยปรายตามองเห็นรถสปอร์ต ด้านหน้าแค่มีรอยบุบเท่านั้น คนบนรถไม่น่าเป็นอะไรมาก

  เขาเดินผิวปากมาจริงๆ “รถผมเองแหละ”

  ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับอัตนัย สวมเสื้อแจ๊คเกตหนังสีดำ กางเกงยีนส์ เนื้อตัวเขาขาวสะอาด เลี่ยมเชี่ยม ใบหน้าเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากสีชมพู ร่างของเขานั้นสูงโปร่ง

  “เมาหรือเปล่าครับ” อัตนัยถามเพราะได้กลิ่น

  เขาเดินเข้ามาใกล้ ถามอัตนัยเบาๆ “เมาแล้วจะทำไมวะ??”

  อัตนัยช้อนสายตาขึ้น หมอนี่สายตาล่องลอย ไม่รู้อัดไปกี่ขนาน แล้วยังขับรถนี่นะ

  “มีอุบัติเหตุบนท้องถนนจำนวนมาก ที่ไม่ควรและไม่น่าเกิดขึ้นคือการเมาแล้วขับ” ผมกัดฟันบอก

  เขาหรี่ตามองอัตนัยแบบเหยียดๆ นัยน์ตาเหมือนคนไม่สู้แสง ทั้งที่เป็นตอนกลางคืน เขามองไล่มาจนถึงหน้าอกของอัตนัย ก่อนคว้าป้ายชื่อที่คล้องคอไว้มาอ่าน

  “อัตนัย ใจเกื้อ” อาสาสมัครมูลนิธิป๋อไต่ เขาอ่านชื่อพลางหัวเราะหึ

  “มาทำไมวะ กูยังไม่ตายสักหน่อย”

  อัตนัยสูดลมหายใจลึก มองไปที่ด้านหน้า

  ทีมซึ่งมาด้วยกัน เราชื่อทีม “ฉกรรจ์ 69” เป็นหน่วยแรก ที่มาถึง เป็นกลุ่มอาสาสมัคร ที่รับผิดชอบพื้นที่นี้ ทีมงานบนรถ ประกอบด้วยหนุ่มๆ อาจหาญ วัยกำลังมีเรี่ยวแรงอย่างดี

  เรืองเดช

เดช

คนขับ, อนันตชัย

ชัย

เจ้าหน้าที่, ชาตรี

ตรี

ผู้ช่วย ทั้งสามเป็นชายฉกรรจ์ หน้าตาหล่อเหลา กลางวันเหมือนหนุ่มออฟฟิศทั่วไป แต่งตัวแล้วก็จะออกแนวพระเอกเกาหลีด้วยซ้ำ แต่พอตกเย็นและค่ำ ถอดเสื้อลำลอง ออกมา สวมชุดหมีสีกรมท่าเป็นอาสาสมัครมูลนิธิป๋อไต๋

  เท่ได้ด้วยการช่วยเหลือสังคม

  "ไม่ได้เป็นอะไร มาทำไมกันเยอะแยะ" เขาถามอัตนัยเบาๆ กลิ่นเมานี่หึ่งเชียว

  อัตนัยนึกอยู่ในใจ “เดี๋ยวมึงไม่รอดแน่”

  ก่อนจะสูดลมหายใจ ชี้แจงไปอย่างสุภาพ “หนึ่งมากันรถไม่ให้ชนซ้ำ เอารถมาคร่อมหัวท้ายเเล้วเปิดไฟให้คนอื่นเห็น สองมากันรถไม่ให้ชนบุคคลากรทางการแพทย์ที่ช่วยคนเจ็บ หรือ ชันสูตร คนตาย สาม ดูเเลคนเจ็บเบื้องต้น ประสานตำรวจและ รถพยาบาล”

  “มันเป็นระบบ ซ้อนระบบที่ไม่ควรมีนะ ต่างประเทศที่เจริญแล้ว มีแต่ ambulance ของจริงอย่างเดียวเท่านั้น นี่อะรายย??” เขาปรายตามองเหยียดๆ สายตานั้นยิ่งกว่าเหยียดหน้าตาอัตนัยตอนแรกเสียอีก

  “มันอยู่ที่งบประมาณ ต่างประเทศเค้ามีตามจุดจอด ของประเทศไทย เราเป็นแบบตั้งรับที่โรงพยาบาล ทำให้ต้องมีทีมกู้ภัยที่อยู่ในพื้นที่ เข้าไปช่วยเหลือให้เร็ว เอาคนเจ็บออกมาก่อนให้ไว้ที่สุด” อัตนัยตอบเขา ก่อนจะมองเขากลับบ้าง

  “แต่ประเทศที่รวย เขาก็ไม่ได้ช่วยฟรีๆ นี่ รถฉุกเฉินมา คุณก็ต้องจ่ายเงินแล้ว ตามเรทที่กำหนด คุณไม่ใช้เงินสด ก็ต้องมีประกัน เพื่อรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้”

  “ก็มีจ่ายอะ!” มันตอบสั้นๆ ก่อนเหมือนจะอ๊วกออกมา แหวะ!! ใส่ที่ไหล่และหน้าอกอัตนัยเต็มๆ

  นอกจากนั้น ยังมีหน้ามาเกาะอัตนัยด้วย อัตนัยนี่เกลียดขี้หน้ามันมาก จะคุมอารมณ์ไม่ไหว

  แต่เขาอยู่ในชุดอาสาสมัคร ยังไงเสีย เราก็ต้องช่วยเพื่อนมนุษย์มากที่สุด เท่าที่ทำได้

  เสียงวี้ว่อเริ่มสนิทลง มีรถที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยจำนวนมากแล้ว

  “เกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง รถกู้ภัยมาเยอะก็จริง แต่ละครั้ง ไม่ต่ำกว่าสามคัน แต่ถ้าลองสังเกตดีๆ พวกเราไม่ได้มาแบบสะเปะสะปะ คันแรกที่มาถึง จะเข้าใกล้คนเจ็บมากที่สุด เพื่อทำการปฐมพยาบาล ส่วนคันที่มาทีหลัง จะจอดล้อมรอบที่เกิดเหตุ ทิ้งระยะห่างพอสมควร และทำหน้าที่ให้สัญญาณรถที่ผ่านไปมาอำนวยความสะดวก”

  เขาหรี่ตามอง ก่อนล้วงปากอ๊วกอีก!! อัตนัยสละไหล่ให้มันเกาะไปแบบนั้น

  “มันช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้ ทั้งนี้มันอาจจะเป็นเหตุผล หรือข้อตกลงในการทำหน้าที่ของพวกเขา ประเทศในฝันของคุณ ที่มีแต่ ambulance ของจริงอย่างเดียวเท่านั้น เทียบไม่ได้หรอกครับ”

  เขาผละตัวออกมาจากอัตนัย มองหน้าแล้วถาม “มีนมเปรี้ยวมั๊ย หมากฝรั่งล่ะ จะหาวิธีแคล้วคลาดจากด่านตรวจ”

  อัตนัยอยู่ในหน้าที่ จึงล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบหมากฝรั่ง ดีดให้มันไปชิ้นหนึ่ง แต่มันไม่พอ เคี้ยวๆ แล้วก็มาล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบหมากฝรั่งไปอีก

  เมื่อมันมองต่ำ มันเห็นความลับบางอย่าง จากหัวเข็มขัด

  “เรียนที่นี่เหรอ มหาวิทยาลัยเดียวกันเลย รุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อนพ้องกัน หาทางช่วยหน่อยสิ”

  คนผิดเริ่มเจรจา หลังจาก “ประกัน” ทำหน้าที่ไปคุยกับคู่กรณี คนขับรถตู้ เรียบร้อยแล้ว ผู้โดยสารบนรถ มองมาที่หมอนี่ เขาเมาอยู่ ถ้าเดินไปคงเป็นเรื่องแน่

  หมอนี่ฉลาด ทำเป็นคุยกับอัตนัยไปแก้เก้อ ดีกว่าเล่นโทรศัพท์เหมือนก่อนหน้านี้ ระหว่างที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่มองกันตาเขียว บางคนก็ถือโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย

  ดีที่คนทำผิด ไม่โวยวาย ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่อง!

  แต่ยังไง เขาคนนี้ก็ต้องชดใช้ความผิดที่ก่อ

  “ลมที่เป่ามันออกมาจากปอด ไม่ได้ออกมาจากกระเพาะอาหาร ถ้านมเปรี้ยวมีสรรพคุณทำให้แอลกอฮอล์ไม่ระเหยออกมาจากเลือด ในปอดได้ ก็คงช่วยได้”

  “ไม่รู้จริงอย่ามั่วดีกว่า ตำรวจปกปิดข่าวแบบนี้ เพราะยิ่งคนรู้ทริคนี้เยอะมากเท่าไร รายได้ก็จะหายไปมากเท่านั้น เดือดร้อนตอนตั้งด่าน รายได้ไม่ตามเป้า”

  “ใจคอนายจะดูถูกทุกคน ทุกอาชีพเลยนะ ชักอยากรู้ว่าเป็นนิสัยหรือสันดาน หายเมาแล้วมาเจอกันหน่อย อยู่คณะอะไร”

  เขายังไม่ทันตอบก่อนจะล้วงคออ๊วก ทำเหมือนคนเป็นโรคโรคบูลิเมีย หรือ โรคล้วงคอ เพื่อกำจัดอาหารที่เพิ่งรับประทาน เข้าไป

  “อ๊วกเยอะๆ ตรวจก็ไม่เจอแล้ว”

You may also like

Download APP for Free Reading

novelcat google down novelcat ios down