About
Table of Contents
Comments

  เวลาเที่ยงคืนตรง…

  “เหลือเวลาแค่ สิบสองชั่วโมงสามสิบสี่นาทีเท่านั้นเองนี่นา” หญิงสาวผมยาวพึมพำหน้านาฬิกาเรือนใหญ่

  แม้เวลาจะผ่านจากนั้นนานหลายนาที แต่ ธันย์ชนก ยังคงยืนถือกระดาษแผ่นเล็กนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาคมจ้องเขม็งไปยังเข็มนาฬิกาเพื่อรวบรวมสมาธิ พร้อมกับปล่อยให้ความเงียบสงัดกล่อมเกลาจิตอันสงบให้ดำดิ่งลงสู่ตัวตนที่แท้จริงอย่างช้าๆ

  … การรอคอยกำลังจะสิ้นสุด เพราะความเชื่อที่ต้องการพิสูจน์กำลังจะแจ้งประจักษ์ …

  คล้ายเป็นดั่งเสียงกระซิบแว่วมาจากที่แสนไกล หญิงสาวค่อยๆ กระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างพึงใจ แต่ทันใดลมเย็นประหลาดก็พัดวูบเอาแผ่นกระดาษปลิวหลุดจากมือ ร่างบางรีบหันกลับไปมองยังประตูที่เปิดทิ้งเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจ เพราะต้นไม้ทุกต้นในบริเวณบ้านยังคงสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว ไม่มีสรรพสิ่งอื่นใดสัมผัสลมประหลาดนั้นได้ นอกจากตัวเธอและกระดาษแผ่นนั้นที่ปลิวหลุดไปบนพื้น

  การนั่งสมาธิที่เธอเคยฝึกจิตให้สงบมีประโยชน์ก็หนนี้ เพราะเธอไม่แสดงอาการตระหนกไปกับเรื่องชวนขนหัวลุกนั้นแม้แต่น้อย สองขาของเธอยังคงก้าวเนิบนาบไปดึงบานประตูปิดเข้ามาด้วยท่าทีเฉยเมยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

  เป็นเวลานานหลายปี ที่เธอวาดความหวังไว้กับเรื่องพลังจิตใต้สำนึกที่ให้ความสนใจอย่างจริงจัง จนกระทั่งเชื่อลึกซึ้งว่าธรรมชาติได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์แสนวิเศษและทรงพลังเอาไว้ในร่างกายมนุษย์ นั่นก็คือดวงจิตที่สามารถสนองตอบต่อการอ้อนวอนอธิษฐาน

  ฟังดูพิลึกใช่ไหมล่ะ แต่นั่นก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่เธอเองก็เบื่อที่จะอธิบายให้ใครได้เข้าใจ เพราะเหตุผลออกจะสลับซับซ้อนและสุดโต่งเสียจนคนทั่วไปคงมองว่างมงายไร้สาระ หากแต่มันกลับเป็นเรื่องท้าทายสำหรับคนนอกกรอบเช่นเธอนักล่ะ

  ในขณะที่เธอเดินย้อนกลับมาหยิบแผ่นกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอีกครั้ง รอยยิ้มอ่อนโยนก็ถูกแย้มขึ้นมาเพียงลำพัง ก่อนจะลากเท้าต่อเนื่องไปหย่อนตัวลงนั่งหลับตาพริ้มบนโซฟาตัวเขื่องด้วยใจเบาสบาย

  … เพียงเปิดใจรับด้วยความเชื่อว่ามีอยู่จริง พลังงานมหาศาลที่ถูกซุกซ่อนก็จะเนรมิตทุกสิ่งให้สมปรารถนา …

  เวลาต่อจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ร่างที่นั่งสงบก็ตกอยู่ในอาการเคลิ้ม พร้อมกับมือที่เคยจับกระดาษนิ่งได้เริ่มเคลื่อนไหวคลี่เจ้าแผ่นเล็กนั้นออก เพื่อจะอ่านข้อความซีดจางในนั้นซ้ำไปมา

  ด้วยพลังจิตใต้สำนึกอันทรงพลังไร้ซึ่งขอบเขต บัดนี้ฉันได้ดึงดูดใครบางคน ที่มีความผสมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับฉันอย่างน่าอัศจรรย์...

  ฉันขอประกาศิตว่าจะได้พบคนผู้นั้น ในเวลา 12.34 น. ของวันที่ 10 มกราคม 2548 และเนื้อคู่ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ครอบครองคุณสมบัติที่เพียบพร้อมด้วยจิตใจที่ดีงาม มีนิสัยน่ารัก อ่อนโยน ใจเย็น เป็นกันเอง เข้ากันได้ดีกับเพื่อนๆ ทุกคน และเราก็รักกันมาก เราทั้งสองถูกสร้างมาคู่กัน จึงมีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เพราะทุกอย่างถูกดำเนินการไปด้วยวิธีอันชาญฉลาดของพลังจิตใต้สำนึก ขอบคุณพลังจิตใต้สำนึกที่ช่วยชี้แนะแนวทาง ขอบคุณสรรพสิ่งทั้งหลายขอให้พบแต่ความสุข ความเจริญ ความสันติสุขจงบังเกิดขึ้น…

  กระดาษแผ่นเล็กร่วงลงพื้นอีกครั้ง หลังจากเธอเข้าสู่ภวังค์การหลับใหล แต่พลังแห่งจิตใต้สำนึกไม่เคยหลับ! และกำลังออกเดินทางไปค้นหาใครสักคนที่พ้องกับทุกตัวอักษรมาให้เธออย่างตั้งใจ

  และนี่ก็คือบทเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ ของการพิสูจน์ที่กำลังจะเปิดฉากในอีกไม่ช้า

  ในคืนเดียวกัน...ชีวิตของใครอีกคน ใบหน้างามที่มัวหมองยังคงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เพราะรักที่แตกสลายยังคงฝากความเจ็บช้ำเอาไว้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะผ่านพ้นมานานเท่าใด ปั้นหยา ก็ทำใจรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ดี

  ความรักที่เวียนผ่านเข้ามาใจชีวิตได้สอนให้รู้จักพอและหยุดที่จะแสวงหา ซึ่งนั่นกลายเป็นการคาดหวังว่าคนที่รักก็น่าจะคิดเช่นเดียวกัน หากแต่มันกลับไม่ใช่เลย

  ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เคยรักและไว้ใจเป็นที่สุด จะมาทำร้ายทำลายกันได้อย่างเจ็บแสบ ทั้งที่ตลอดเวลาเธอมั่นคงภักดีในรักยิ่งนัก แต่กลับได้รับสิ่งตอบแทนเป็นความเจ็บปวด ที่เจ็บเสียยิ่งกว่าถูกคมหอกคมดาบทิ่มแทงทะลวงกายให้แดดิ้น

  เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป แต่ภาพต่างๆ เหล่านั้นยังวนเวียนไปมาเหมือนนั่งดูหนังเรื่องเดิมที่แผ่นฟิล์มอัดแน่นไปด้วยภาพของหญิงชายกอดจูบดูดดื่ม บนเตียงสีขาวหลังใหญ่ เธอจำได้ดีว่าหญิงสาวที่เปลือยกายอยู่ใต้ร่างหนุ่มล่ำสันคนนั้นคือ ปานเรขา คนรักที่คบหากันมานานแปดปี และชายหนุ่มคนนั้นก็คือ ปกรณ์ เพื่อนรักสมัยเรียน

  ในวันนั้นปั้นหยาต้องการเพียงจะเข้าไปหยิบเอกสารที่ลืมทิ้งไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง โดยไม่ทันเฉลียวใจเลยสักนิดว่า จะต้องเข้าไปพบกับสิ่งที่จะทำให้ชีวิตรักของเธอเปลี่ยนไป!

  ทันทีที่ประตูห้องนอนถูกเปิด เธอถึงกับตะลึงงันไปกับภาพบัดสีของคนรักและเพื่อนสนิทที่กำลังนอนกอดก่าย ลูบไล้เริงสวาทกันอยู่บนเตียงนอนของเธอเอง หัวใจที่มีราวกับโดนเท้าบดขยี้ให้แหลกเหลว สมองมึนเบลอเสียจนจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกทั้งนั้น

  “ปาน…”

  ในที่สุดปั้นหยาก็ครางเป็นชื่อคนรักออกมา ในจังหวะเดียวกับที่อีกคนผงกศีรษะขึ้นมาพอดี ฉับพลันร่างเปลือยเปล่าของปานเรขาก็ดีดตัวถลึงพรวดขึ้นมารวดเร็ว หญิงสาวมากรักรีบร้อนผลักร่างหนาที่ยังไซ้เนินอกให้ลงไปนอนหงายทำหน้าถอดสีไปในทันที เพราะเวลานี้ความลับที่เคยมี มิอาจจะเป็นความลับได้อีกต่อไป!

  “ปั้น!!!” ปานเรขาตะโกนเรียกพร้อมกับคว้าเสื้อคลุมมาสวมลวกๆ และออกวิ่งตามร่างที่ถลันออกจากห้องนอนไปอย่างไม่คิดจะฟังคำแก้ตัวใดทั้งสิ้น!

  หัวใจที่มีพลันสร้างปราการป้องกันตัวขึ้นมาหนาเตอะ ทั้งที่ยังคงเป็นซากป่นปี้ รู้แต่ว่าเธอต้องรีบออกจากสถานที่แสนสะอิดสะเอียนนี้ให้เร็วที่สุด

  “เดี่ยวก่อนปั้น ฟังปานอธิบายก่อน!”

  ปานเรขาพูดเสียงหอบ ขณะวิ่งมาทันคว้าแขนเรียวเล็กได้ที่หน้าประตูห้องพอดี

  “ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น ปั้นไม่อยากฟัง!” ปั้นหยาพูดเสียงเด็ดขาด ก่อนที่จะสลัดแขนออกเป็นอิสระและผลุนผลันออกจากห้องโดยเร็ว

  ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เวลาแค่ไม่กี่วินาทีที่เห็นเองกับตานั้นสามารถทำลายล้างความดีงามที่เคยมีให้ต่อกันได้อย่างไม่เหลือหรอ แต่กระนั้นปานเรขาเองก็ไม่วายที่จะกระหืดกระหอบตามกันออกไปทั้งๆ ที่เนื้อตัวนั้นไม่เหมาะแม้จะก้าวขาออกจากห้อง

You may also like

Download APP for Free Reading

novelcat google down novelcat ios down