ไม่รู้เหมือนกันว่าสนิทกันได้ยังไง มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกัน รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคอยวน ๆ เวียน ๆ อยู่ข้างกันไปแล้ว
สำหรับทุกสิ่งของมนุษย์ ครั้งแรกมักจะยากเสมอ แต่ครั้งต่อ ๆ ไปจะง่ายขึ้นอย่างเรื่องของผมที่จู่ ๆ ก็หลุดออกจากร่าง กลายมาเป็นวิญญาณเร่ร่อนโดยไม่รู้ตัว เพียงเพราะความผิดพลาดของ “ยมทูต”
ภาพตรงหน้าที่ผมเห็นคือภาพของอุบัติเหตุครั้งใหญ่ รถชนกันแบบวินาศสันตะโรกว่าสิบคัน บางคันก็เสียหายยับเยินจากการถูกอัดก็อปปี้ เสียงไซเรนรถของโรงพยาบาลดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง รถตำรวจและรถดับเพลิงก็มากันอย่างพร้อมเพรียง เพราะหนึ่งในนั้นเป็นรถบรรทุกน้ำมันที่บรรทุกน้ำมันมาเต็มเปี่ยม ผมเห็นเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยต่าง ๆ กำลังให้ความช่วยเหลือผู้คนในอุบัติเหตุดังกล่าวอย่างเร่งด่วน มีทั้งคนที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ บ้างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส บ้างก็บาดเจ็บเล็กน้อยก็ว่ากันไป
ผมรีบสำรวจร่างกายของตัวเอง ไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ โชคดีไป
ยัง...ยังไม่รู้ตัวอีก
ผมรีบตรงเข้าไปดูคนเจ็บที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด ตามประสาคนที่ไม่นิ่งดูดาย เขานอนร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดอยู่บนถนน และยังไม่ได้รับการดูแล
“เป็นยังไงบ้างครับคุณ เจ็บตรงไหนครับ”
แต่คนเจ็บทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ผมถาม ผมคิดว่าเขาคงตกใจและกำลังเจ็บปวดกับบาดแผลที่ได้รับ มาได้รับคำตอบก็ตอนที่ผมเอื้อมมือไปจับตัวเขาแต่ไม่สามารถทำได้ มันเหมือนมือของผมราวกับวัตถุโปร่งแสง ผมพยายามจับตัวเขาอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ ผมก้มมองมือทั้งสองข้างของตัวเองด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
ผมรีบลุกขึ้นมองไปรอบ ๆ พยายามตะโกนเรียก และมองหาใครสักคนที่จะหันมาสนใจผม สุดท้ายก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งมองมาที่ผม ความดีใจทำให้ผมรีบเดินตรงไปหาเขาทันที
“ตามมา” เป็นคำพูดแรกที่ผมได้ยินจากเขา
ผมเดินไปตามคำสั่งแต่โดยดี เขาพาผมไปในที่ ๆ ผมไม่คุ้นเคยในเวลาเพียงชั่วพริบตา ราวกับนั่งไทม์แมชชีนของโดเรม่อน ปากก็เอ่ยถาม
“เกิดอะไรขึ้นกับผม แล้วคุณเป็นใคร ทำไมถึงเห็นผมในขณะที่คนอื่นมองไม่เห็น”
“ฉันคือผู้ที่มาคอยรับวิญญาณของคนที่ถึงฆาต”
“ยมทูต”
“เขาเรียกผู้กำหนดเวลา”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้คุณบอกว่ามารับวิญญาณ...วิญญาณใคร!”
ยมทูตไม่ได้ตอบคำถามแต่จ้องมองมาที่ผม
“นี่ผมตายแล้วเหรอ”
“ที่จริงคุณยังไม่ถึงที่ตายวันนี้ ยังไม่ถึงฆาต”
“ถ้ายังไม่ตายแล้วทำไมวิญญาณของผมจึงหลุดออกจากร่าง คนที่ยังไม่ตายวิญญาณจะออกมาเร่ร่อนแบบนี้ได้ยังไง”
“มันเป็นอุบัติเหตุที่นาน ๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง”
“อะไรนะ!”
“เรื่องวุ่น ๆ เกิดขึ้นได้ทุกที่ เรื่องนี้ก็เช่นกัน”
“หา!” ผมทำหน้าเหวอไป
เป็นความผิดพลาดของยมทูตแต่เป็นคราวซวยของผมโดยแท้ ทำไมต้องเป็นผมด้วย...ทำไม
“แต่เพราะความผิดพลาดเราจึงไม่พาตัวคุณไปในที่ ๆ ควรไป ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาของคุณ แต่ต้องมาเป็นแบบนี้เพราะความผิดพลาดของคนอื่น ฉะนั้นมีสองทางให้คุณเลือก ซึ่งคุณต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง”
“อธิบายมา”
“แค่ทำตามที่แนะนำไปจากโลกนี้ซะ”
“จะบ้าเหรอ! นั่นหมายถึงผมตายน่ะสิ ไม่เอาหรอก แล้วทางเลือกที่สองคืออะไร”
“คุณต้องหาร่างของตัวเองให้พบคุณถึงกลับไปได้”
“ผมเลือกวิธีนี้”
“ฟังให้จบค่อยตัดสินใจดีไหม”
“ก็พูดมาสิ”
“นอกจากต้องหาร่างของตัวเองให้พบแล้ว คุณจะต้องกลับคืนร่างเดิมให้ได้ภายในเก้าสิบวัน ถ้าทำไม่ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ผมก็จะมารับวิญญาณของคุณไปในที่ ๆ ควรไปเมื่อครบวาระของคุณ มันขึ้นอยู่กับคุณด้วย ตอนนี้คุณยืนอยู่บนเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตาย ถ้าคุณทำสำเร็จทันเวลา มันก็คุ้มค่าสำหรับคุณที่จะได้อยู่บนโลกนี้อีกครั้ง”
“ผมเลือกวิธีนี้”
“ได้สิทธิ์ตามนั้น สิ่งหนึ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้ คุณจะไม่สามารถจดจำเรื่องราวที่ผ่านมาของตัวเองได้ ไม่รู้ว่าตัวเป็นใคร ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อนามสกุลของตัวคุณเอง”
“ยากไปอีก แล้วผมจะหาร่างของผมเจอได้ยังไง”
“นั่นมันเป็นปัญหาของคุณ คุณต้องเป็นคนไปหาคำตอบนี้ด้วยตัวเอง”
“บอกใบ้ให้หน่อยก็ยังดีว่าผมควรเริ่มต้นที่ไหน”
“ไม่มีคำใบ้ แต่ถ้าคุณทำได้มันก็คุ้มค่า น่าเสี่ยงนะว่าไหม”
“แล้วผมจะได้พบคุณอีกไหม”
“แน่ใจนะว่าอยากเจอ...ถ้าเราเจอกันอีก หมายถึงเวลาของคุณบนโลกใบนี้สิ้นสุดลงอย่างถาวร”
“ไม่...ไม่...ผมไม่อยากเจอ”
ผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น
“คงต้องไปแล้ว”
“คุณจะไปไหน”
“ไปปฏิบัติหน้าที่ โชคดีนะ”
ยมทูตโบกมือให้ผม ก่อนจะหายวับไปกับตาอย่างไร้ร่องรอย
“ปฏิบัติหน้าที่...หมายความว่ามีคนตาย...แต่จะเป็นใครก็ช่างหัวมันเถอะ ตอนนี้ผมต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน”