About
Table of Contents
Comments

  ณ มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ในลาสเวกัส กำลังมีพิธีอันทรงเกียรตินั่นคือ งานรับปริญญาให้กับบัณฑิตใหม่ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไปจนถึงระดับปริญญาเอก ทุกคนต่างชื่นมื่นและร่วมยินดีกับวันอันทรงเกียรตินี้ และหลังจากที่รับปริญญาเสร็จเรียบร้อย ทุกคนต่างร่วมกันถ่ายภาพ เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกสำหรับครั้งหนึ่งในชีวิต นักศึกษาที่จบในปีนี้ไม่ได้มีแค่ฝรั่งหัวทองเท่านั้น แต่ที่นี่กลับรวมเอานักศึกษาทั่วทุกมุมโลกมาไว้ด้วยกัน และหนึ่งในนั้นคือคนไทย

  ลลิลยา วิรากานต์ วัยยี่สิบสองปีคือหนึ่งในคนไทยที่หมายมุ่งมาศึกษาที่นี่ ด้านบริหารธุรกิจ เมื่อเรียนจบก็หวังที่จะนำวิชาความรู้กลับไปใช้ในธุรกิจครอบครัว วันนี้เป็นที่เธอมีความสุขมาก เพียงแต่เคล้าด้วยอารมณ์หงอยเหงา เนื่องจากว่าครอบครัวของเธอไม่ได้เดินทางมาร่วมยินดี ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้หวังว่าจะให้เป็นอย่างนั้น เพราะไม่อยากให้สิ้นเปลืองค่าเดินทางโดยเปล่าประโยชน์ เอาไว้ให้เธอกลับเมืองไทยไปเมื่อไหร่ ค่อยฉลองก็ยังไม่สาย

  “ลิลยิ้มหน่อยกำลังถ่ายรูปจ้า” รสาเพื่อนคนไทยของลลิลยาเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นลลิลยากำลังยืนถือดอกไม้ด้วยอาการเหม่อลอย สายตามองไปยังเพื่อนกลุ่มอื่นๆ ที่มีครอบครัวมาให้กำลังใจ

  “โทษทีจ้ะ” ลลิลยารีบหันไปหากล้องพร้อมกับยิ้มหวาน ในขณะที่เพื่อนๆ ต่างยืนอยู่ข้างกาย เพื่อรอถ่ายรูปเช่นกัน ทำให้ลลิลยาลืมความหมองเศร้าไปได้ชั่วขณะ เพราะได้รอยยิ้มและคำปลอบใจจากเพื่อน ๆ นั่นเอง แต่ถ่ายรูปกันอยู่สักพักอยู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของลลิลยาก็ดังขึ้น

  กริ้ง! กริ้ง! ลลิลยาชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าถือที่เธอถือเอาไว้ พร้อมกับก้มมองดูเบอร์

  “เบอร์ที่บ้านนี่” ลลิลยาเอ่ยออกมาลอย ๆ แล้วจึงหันไปบอกกับเพื่อน ๆ

  “เดี๋ยวลิลรับโทรศัพท์แปบนึงนะจ๊ะ” ลลิลยาบอกพร้อมกับยิ้มหวานอีกครั้งตามนิสัย ก่อนจะแยกตัวออกไปจากเพื่อนๆ จากนั้นเธอจึงกดรับสายทันที

  “สวัสดีค่ะ” ลลิลยารับสายเสียงหวาน

  “ลิล งานเสร็จหรือยังลูก” ปลายสายคือมารดา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวานระคนด้วยความเศร้าจนเธอฟังได้ชัด

  “เสร็จแล้วค่ะคุณแม่กำลังถ่ายรูปกันอยู่ อยากให้คุณแม่กับป๊ามาที่นี่จัง ที่นั่นเป็นเวลานอนไม่ใช่เหรอคะทำไมคุณแม่ถึงได้โทรมาได้ล่ะคะ”

  “ลิล ฟังแม่นะ” มารดาบอกอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือจนทำให้ลลิลยารู้ใจคอไม่ค่อยดี

  “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ” ลลิลยาถามด้วยความไม่สบายใจ

  “ทำใจดีๆ ไว้นะลูก ป๊ะป๋า... ป๊ะป๋าเสียแล้ว เมื่อคืนนี้” คราวนี้มารดาของเธอพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลเอ่อ แต่ลลิลยาช็อกเสียยิ่งกว่า ทว่ามีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม พูดอะไรไม่ออกกระทั่งได้สติจึงเอ่ยถามมารดาต่อ

  “ป๊ะป๋าเป็นอะไรคะ เกิดอะไร” ลลิลยาถามพลางสะอื้นอย่างห้ามไม่ได้ พร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นดังไปกว่านี้

  “ลิล ป๊ะป๋า ป๊ะป๋าฆ่าตัวตาย! ป๊ะป๋าฆ่าตัวตายลูก” เมื่อฟังจบโทรศัพท์แทบจะหลุดจากมือของลลิลยา และนั่นมันยิ่งทำให้เธอร้องให้ออกมาราวกับคนเสียสติ

  “ป๊ะป๋า! ทำไมป๊ะป๋าทิ้งเราไปแบบนี้คะคุณแม่” ลลิลยาเริ่มคร่ำครวญและร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย ไม่สนใจว่าใครจะมองเธอหรือไม่

  “ป๋าไม่ปรึกษาแม่สักคำว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่หาทางออกช่วยกัน แต่เก็บปัญหาไว้คนเดียว แม่นอนอยู่ได้ยินเสียงปืน แม่เข้าไปดูก็แทบช็อก เห็นจดหมายลาตายของป๊าด้วย” มารดาอธิบายพลางร้องไห้อย่างหนัก

  “ลิลไม่เข้าใจ ทำไมป๊ะป๋าต้องคิดสั้น”

  “บริษัทเราล้มละลาย” นี่มันเป็นอีกหนึ่งข่าวร้ายทั้งๆ ที่วันนี้เป็นข่าวดีของเธอแท้ๆ เชียว

  “อะไรนะคะ! ทำไมลิลไม่รู้ ทำไมไม่มีใครบอกลิลเลย”

  “เพราะกลัวว่าลิลจะไม่มีสมาธิเรียนไงลูก แต่แม่ไม่คิดว่าป๋าจะเครียดและคิดสั้น”

  “เพราะล้มละลายหรือเปล่าถึงมาหาลิลไม่ได้”

  “จ้ะ กลับมางานศพป๊ะป๋านะลูก”

  “ค่ะลิลจะกลับ จะกลับพรุ่งนี้เลย” ต่างคนต่างร้องไห้คร่ำครวญต่อกันไม่ยอมหยุด และเมื่อได้สติมารดาก็เริ่มเล่าถึงเรื่องราวที่ทำให้บริษัทรับสร้างบ้านของบิดาต้องถูกฟ้องล้มละลาย เพราะเม็ดเงินมหาศาลที่ลงทุนสร้างอาคารบ้านเรือนให้กับลูกค้าก่อนนั้น

  แน่นอนว่าเป็นเงินทุนหมุนเวียนที่กู้จากธนาคาร และเมื่อรับมอบงานลูกค้าไม่สามารถจ่ายเงินได้ตามจำนวนและตามกำหนด ลูกค้าบางรายจ่ายเช็คเด้ง แทนที่บิดาจะมีเงินหมุนเวียนคืนให้กับทางธนาคาร กลับไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว จึงต้องถูกธนาคารฟ้องล้มละลายในที่สุด และต้องหาทางทยอยจ่ายให้ได้

  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทางครอบครัวปิดบังเพื่อไม่ให้เธอต้องคิดมาก และเสียการเรียนจนอยากกลับ แต่ไม่คิดว่าการล้มละลายในครั้งนี้จะทำให้บิดาคิดสั้นลาโลกไปอย่างไม่มีวันกลับ ทำลายหัวใจของคนในครอบครัว และทำลายความสุขของลลิลยาให้จบลง มันเป็นสองข่าวร้ายที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต

  หลังจากลลิลยารับฟังข่าวร้ายจากมารดา และสัญญาว่าจะบินด่วนกลับวันพรุ่งนี้ ทั้งคู่จึงได้วางสายจากกัน ลลิลยาจึงบอกข่าวร้ายนี้กับเพื่อนๆ จากนั้นจึงขอตัวกลับมายังเพนต์เฮาส์ของตัวเองด้วยหัวใจที่แสนเจ็บปวด สีหน้าและแววตาเหม่อลอยราวกับคนที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง เธอเอาแต่นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ริมหน้าต่าง พลางมองไปยังวิวสวยงามแห่งลาสเวกัส แต่จะสวยงามน่าหลงใหลเพียงใดก็ไม่สามารถทำให้เธอมีความสุขขึ้นมาได้

  “ป๊ะป๋า ลิลกับแม่จะอยู่ยังไง” ลลิลยาถามตัวเองลอย ๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ใบหน้าสวยหวานน่ารักซีดเซียว ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มแดงก่ำ จมูกโด่งๆ แดงราวกับถูกบีบ เธอเอาแต่นั่งกอดเข่า บ้างก็ฟุบหน้าลงไปกับหัวเข่าแล้วร้องไห้ หัวใจและจิตวิญญาณของเธอเวลานี้อยู่ที่เมืองไทย อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ เธออยากกลับบ้านอยากกลับไปกอดบิดาเป็นครั้งสุดท้าย

  “ป๊ะป๋า” ลลิลยาเอ่ยออกมาลอยๆ อีกครั้ง สายตาเหม่อเหมือนคนที่มีอาการช็อกอย่างรุนแรง ลุกไปไหนไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิมตั้งแต่กลับมาจากมหาวิทยาลัย กระทั่งเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วไม่รู้ แต่เสียงกริ่งหน้าห้องทำให้ลลิลยาหลุดจากฝันร้าย

  ติ้งหน่อง! ติ้งหน่อง! ลลิลยาเงยหน้าขึ้นจากที่ซบอยู่หัวเข่า แล้วมองไปยังประตูห้อง พลางถอนหายใจทิ้งหนักๆ ก่อนจะยันกายลุกขึ้นอย่างคนไร้เรี่ยวแรง เธอเดินไปส่องที่ตาแมวสักครู่ เมื่อรู้ว่าเป็นใครจึงเปิดประตูให้ เผยให้เห็นเพื่อนรักคนไทยที่ยืนทำหน้าเศร้ามองเธอด้วยความสงสารเช่นกัน

  “ลิล” รสาเพื่อนรักลลิลยาเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาสวมกอด ซึ่งลลิลยาก็โผกอดราวกับต้องการการปลอบโยนอย่างที่สุด

  “สา ลิลจะอยู่ยังไง ลิลรับไม่ไหว” ลลิลยาร้องไห้ออกมาอีกครั้งและกอดรสาเอาไว้แน่น

  “ไม่เป็นไรนะ ลิลยังมีสา มีครอบครัว เข้มแข็งเข้าไว้เข้าใจไหม” รสาพยายามปลอบใจเพื่อนรักพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบหลังของลลิลยาเบา ๆ

  “ลิลรู้ แต่ยังรับไม่ได้ มันเร็วเกินไป” ใช่สิไม่มีใครรับได้แน่ ถ้าหากบิดาจากไปเพราะโรคภัยไข้เจ็บยังพอทำใจได้ แต่นี่เปล่าเลยมันกะทันหันจนตั้งตัวไม่ทัน

  “สารู้ คิดเสียว่าท่านหมดกรรม”

  “ลิลยังคิดไม่ได้อยู่ดี ท่านฆ่าตัวตายนะสา” ลลิลยาบอกด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น

  “สารู้ว่าลิลเสียใจ เอางี้ไปหาอะไรทานกันเพิ่มพลัง อีกอย่างลิลต้องกลับพรุ่งนี้แล้ว เดี๋ยวเราจะไม่มีเวลาไปไหนมาไหนด้วยกันอีก”

  “ความคิดที่ว่าลิลจะเรียนต่อโท คงทำไม่ได้แล้ว คงอยู่กับคุณแม่ดูแลท่าน”

  “สาเข้าใจ เอาเป็นว่าไปล้างหน้าล้างตา แต่งตัวสวยๆ แล้วไปทานดินเนอร์กัน วันนี้จะพาไปที่หรูแถวคาสิโนส่องหนุ่มๆ เอาไหม” รสาพยายามพูดปลอบใจและชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อให้ลลิลยาได้ลืมความทุกข์ลงไปบ้าง

  “เอางั้นก็ได้สา รอลิลแปบนึงนะ ไม่นานหรอกจ้ะ” ลลิลยารีบดันตัวออกจากอ้อมกอดของเพื่อน จากนั้นจึงเดินเข้าห้องนอนเพื่อจัดการกับตัวเองเสียใหม่ ไม่นานนักลลิลยาก็แต่งตัวเสร็จแล้วออกมาจากห้อง ในชุดกางเกงยีนส์เข้ารูปรองเท้าบู้ธสีดำ เสื้อเชิ้ตด้านในสีขาวและเสื้อสูทกึ่งแจ็คเก็ตสีดำสวมทับ เพราะเธอต้องการบอกให้รู้ว่ากำลังไว้ทุกข์ให้กับบิดาและอยู่ในอาการโศกเศร้า จนรสาอดส่ายหน้าด้วยความสงสาร

  “แต่งตัวดูดีมากรู้ไหมแต่ ยิ้มนิดนึงนะลิล ตั้งสตินะเพื่อน”

  “ลิลจะพยายาม” คำว่าจะพยายามของลลิลยานั้นดูเหมือนจะน่าเป็นห่วงเหลือเกิน

  จากนั้นรสาจึงพาลลิลยาออกมาจากเพาต์เฮาส์สุดหรู ขณะที่รถส่วนตัวของรสาจอดอยู่ริมถนนหน้าทางขึ้นเพนต์เฮาส์พอดี จากนั้นจึงขับรถมาตามย่านสตริปซึ่งเป็นย่านที่เต็มไปด้วย แหล่งคาสิโนและโรงแรมหรูขนาบทั้งสองข้างทาง มองไปรอบๆ เห็นแต่สถาปัตยกรรมที่ถูกจำลอง และเลียนแบบสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ถูกสร้างไว้ที่นี่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

  ความสวยงามประชันกับโรงแรมและคาสิโนสวยๆ แถมยังประดับประดาด้วยหลอดไฟสีทอง ยามค่ำคืนเช่นนี้ทำให้ตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก แต่กลับทำให้ลลิลยาไม่มีความสุข เพราะเพิ่งสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งไปอย่างไม่มีวันกลับ และกะทันหัน รสาทำได้แต่เพียงยื่นมือไปกุมกระชับมือของลลิลยาอย่างปลอบใจ พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน

  แต่เมื่อขับรถไปได้สักครู่รสาเริ่มชะลอเพราะเห็นโรงแรมที่ต้องการ เธอจึงเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าทางเข้าโรงแรมแอนด์คาสิโนที่มีชื่อว่า เดอะแม็ค คิงส์พาเลท ราวกับต้องการจะสื่อว่าที่นี่เน้นหนักไปในเรื่องของราชาแห่งคาสิโน โลกีแหล่งมั่วบาป และต้องการคนกระเป๋าหนักเท่านั้น เพราะเท่าที่รู้คาสิโนที่นี่หรูระดับห้าดาว โดยมีคาสิโนและโรงแรมในเครือซึ่งอยู่ในย่านสตริปถึงห้าแห่ง เมื่อรสาจอดรถสนิทแล้วก็มีพนักงานคอยเปิดประตูให้ และรับกุญแจรถไปจากรสาเพื่อนำรถขับไปเก็บให้ที่ลานจอดรถ

  “ทำไมเราต้องมาที่นี่ล่ะสา” ลลิลยาอดถามไม่ได้เพราะไม่ชอบรับประทานอาหารในสถานที่กึ่งคาสิโนเช่นนี้

  “ก็ที่นี่อร่อย อย่าบอกนะว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ไม่เคยมา”

  “อย่าว่าไม่เคยเข้าเลย ลิลไม่เคยเข้าแหล่งคาสิโนเสียมากกว่า ลิลไม่ชอบสถานที่สูบเงินมันไม่มีอะไรน่าเที่ยวเลย”

  “แต่มาอยู่ได้ตั้งสี่ปีแน่ะ”

  “แน่นอนล่ะลิลมาเรียนนี่ ไม่ได้มาเที่ยว ถึงจะเลือกที่นี่ก็เถอะ เขาเรียกว่าฝึกตัวเอง ว่าจะหลงกับแสงสีหรือเปล่าหรือจะตั้งใจเรียน” พูดตอบโต้ได้ยาวขนาดนี้แปลว่าเธอดีขึ้นแล้วสินะ อย่างน้อยก็ลืมมันไปได้สักพัก

  “สุดท้ายลิลก็ตั้งใจเรียนมากๆ ช้อปปิ้งอย่างเดียวไม่ยอมเที่ยวตามแหล่งคาสิโน”

  “แต่สาก็พาลิลมาจนได้” ลลิลยาบอกน้ำเสียงหม่นลงอีกครั้ง เมื่อรสาพาเดินเข้ามาในโรงแรม และเบื้องหน้าคือความตระการตาเพราะเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น ล้วนเป็นสีเหลืองทอง มองขึ้นไปบนเพดานแบบทรงโดมโค้งสวย อีกทั้งภาพวาดเทพเจ้ากรีกในลักษณะต่างๆ ที่ถูกบรรจงวาดบนเพดานซึ่งสวยสดงดงาม และแต่ละโซนถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน

  ส่วนของห้องอาหารหรือเรียกอย่างหรูหราว่าภัตรคาร จัดเอาไว้เป็นสองโซน นั่นคือโซนสำหรับแขกทั่วไปและแขกวีไอพี อีกทั้งแยกสีของห้องและเก้าอี้อย่างชัดเจน โดยที่ห้องวีไอพี เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างเป็นสีทองบวกครีม แต่ถูกแสงไฟสีเหลืองขับจนโดดเด่นกลายเป็นสีทอง ส่วนห้องอาหารทั่วไป ยังคงมีสีขาวและสีฟ้าให้เห็น โต๊ะเก้าอี้เป็นฟ้าขาว อีกทั้งยังมีตู้ปลาขนาดใหญ่ติดตั้งไว้ที่ฝาผนัง ความสูงตั้งแต่พื้นจรดเพดาน เพื่อให้แขกได้มองอย่างเพลินตา ภายในมีเคาน์เตอร์บาร์สำหรับเครื่องดื่มทุกชนิดและด้านหลังยังมีตู้ปลาขนาดใหญ่อีกเช่นกัน

  “มีสองโซนคุณหนูลิลจะรับประทานอาหารโซนไหนดีจ๊ะ” รสาถามยิ้มๆ พร้อมทั้งแซวอย่างเอาใจ

  “สาเลือกเถอะจ้ะ ลิลไม่รู้จักที่นี่ แล้วเศรษฐีไฮโซอย่างสาทานตรงโซนไหนล่ะ ลิลไม่เห็นมันแตกต่างกันตรงไหนเลย”

  “ต่างสิ วีไอพีแปลว่าเราเป็นคนมีระดับ เขาก็บริการประทับใจ ส่วนโซนธรรมดาก็แขกทั่วไปไง”

  “อ๋อจะบอกว่าตัวเองมีระดับ” ลลิลยาถามกลับอย่างหมั่นไส้ และยิ้มน้อยๆ แต่รสากลับพยักหน้าเต็มใจรับ

  “จ้าแม่คนรวย” เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว รสาจึงพาลลิลยามานั่งตรงโซนวีไอพี แต่ทว่าเมื่อนึกถึงคำพูดตัวเองเมื่อครู่ คนรวย ทำให้ลลิลยาถึงกับชักสีหน้าหมองเศร้าลงทันที จากคนมีอันจะกินที่สามารถมาเรียนต่อเมืองนอกได้สบาย และกำลังจะเรียนต่อปริญญาโท แต่ด่ำดิ่งสู่ฐานะล้มละลายอย่างเต็มตัว คิดไปก็สงสารครอบครัวเหลือเกิน ไม่ได้สงสารตัวเองเลยสักนิด เพราะไม่ได้แบกรับภาระธุรกิจเอาแต่เรียนหนังสือ ทว่าเมื่อได้รับรู้แล้วกลับปวดใจและแทบช็อก

  รสาพาลลิลยาเลือกโซนที่นั่งแบบสองคน แต่ทว่าเมื่อทั้งสองเดินเข้ามาถึง กลุ่มผู้ชายฝรั่งผิวขาวและผิวสีในชุดสูทสีดำนับสิบคนที่ยืนรอต้อนรับใครบางคนต่างพากันหันมา และหยุดสายตาอยู่ที่ทั้งคู่ สองสาวแปลกตาเพราะไม่ใช่ฝรั่งหัวทองที่ทำตัวหรูเลิศ แต่ทั้งคู่มีใบหน้าเป็นคนเอเชียผมดำ แต่ฐานะไม่เบาที่สามารถเข้ามาทานอาหารที่นี่ได้ นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับผู้หญิงที่มีร่องรอยแห่งความหมองเศร้าปรากฏอยู่บนใบหน้า ลลิลยาเป็นคนตาโตน่ารัก จมูกเล็กแต่โด่งเป็นสัน ริมฝีปากรูปกระจับบาง ผิวพรรณขาวราวกับหยวก ลลิลยาดูแปลกตาเพราะความโดดเด่นจึงถูกจ้องมอง มันทำให้เธอประหม่าจนต้องก้มหน้าแล้วนั่งลง

  “เราเหมือนตัวประหลาดหรือยังไงถึงได้พากันมองนัก เวลาสามาที่นี่เขาพากันมองอย่างนี้หรือเปล่า” ลลิลยาอดถามไม่ได้เพราะเกร็งมากที่ถูกมองอย่างนี้

  “ไม่นะ ปกติสามาไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย นี่น่าจะเป็นครั้งแรกสงสัยคนสำคัญจะมาล่ะมั้ง ไม่ต้องไปสนใจหรอกสั่งอาหารดีกว่า” รสาตัดบทเพื่อไม่ให้ลลิลยาประหม่าจนเกินไป แล้วหันไปให้ความสนใจกับพนักงานที่กำลังเดินมารับออร์เดอร์ ทั้งสองจึงต้องทำตัวให้เป็นฝรั่งและจูนคลื่นภาษา เพื่อที่จะสนทนากับพนักงานชายทันที

  แต่ในขณะที่สองสาวกำลังสั่งอาหารอยู่นั้น บุคคลสำคัญที่คาดว่าชายหนุ่มทั้งสิบคนนั้นรอคอย ก็เดินเข้ามาด้านใน ปรากฏเป็นชายหนุ่มฝรั่งอเมริกันผิวขาว หล่อขาดบาดใจ รูปร่างสูงใหญ่ไว้เครา สวมสูทสีดำผูกเนคไท คอตั้งหน้าเชิด สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางทะนง จองหอง ข้างกายขนาบด้วยสาวผมบลอนผิวสีน้ำผึ้งในชุดเดรสสีดำเดินเกาะแขนชายหนุ่มอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ ลลิลยามองอยู่เพียงชั่วครู่จึงหันกลับมาเพราะรู้สึกราวกับถูกพลังอำมหิตแผ่มาถึงตัวทำให้รู้สึกสั่นกลัว

  “เชิญนั่งครับคุณแบรด” ดั้ชบอร์ดี้การ์ดหนุ่มคนสนิทเอ่ยขึ้นพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้ให้นั่ง

  เช่นเดียวกันชายหนุ่มผู้มาใหม่คือแบรดลี่ย์ แม็คคอย ที่ไม่มีใครไม่รู้จักเขา ชายหนุ่มนั่งลงตรงเก้าอี้วีไอพีที่ถูกเหล่าบอร์ดี้การ์ดยืนห้อมล้อม และบังเอิญว่าเขานั่งหันหน้ามาทางลลิลยาอย่างไม่ตั้งใจ ด้วยความแปลกตาชายหนุ่มถึงกับจ้องมองอย่างสงสัย และสงสัยในความสวยเป็นสำคัญ

  “มีอะไรหรือเปล่าครับเจ้านาย” ดั้ชก้มลงมาถามอย่างสงสัย

  “เปล่า” แบรดลี่ย์ตอบกลับน้ำเสียงเย็นๆ แววตานิ่งและหรี่ลงเล็กน้อย

  “เปล่า แล้วมองอะไรคะแบรด” มีร่าสาวสวยที่มาด้วยอดถามไม่ได้เช่นกัน

  “ที่นี่เป็นที่ของฉัน ทำไมฉันจะมองไม่ได้ แล้วอย่ามาใช้น้ำเสียงถามแบบนี้ ฉันไม่ชอบ” คำพูดที่ไม่แคร์ใครของแบรดลี่ย์ทำให้แม่สาวผมบลอนถึงกับหน้าชา ชักสีหน้าไม่พอใจพลางถอนหายใจทิ้งและค้อนให้แบรดลี่ย์ทันที

  “ถามเฉยๆ ค่ะ ไม่ได้ถามเพื่อให้มันเป็นประเด็น” มีร่าตอบกลับน้ำเสียงเบา

  “สั่งให้เอาอาหารมาวางได้แล้วไป ฉันหิว” แบรดลี่ย์บอกกับดั้ชด้วยน้ำเสียงจองหองราวกับถูกขัดใจ จากนั้นดั้ชจึงพยักหน้าให้บอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งไปแจ้งกับพนักงานทันที เพราะทุกอย่างถูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

  “แบรด เป็นอะไรไปคะ อยู่ดีๆ ก็เหมือนคนอารมณ์เสีย”

  “ฉันเครียดมาจากงาน อย่าถามอะไรที่มันไม่เข้าหู” แบรดลี่ย์บอกด้วยน้ำเสียงเช่นเดิมทว่าสายตาคมกริบสีน้ำตาลอ่อนกลับมองไปยังสองสาวเอเชีย

  “ก็แค่ถามว่ามองอะไร” มีร่าถามอีกครั้งพร้อมกับมองตามสายตาของแบรดลี่ย์ทันที แล้วก็เห็นด้วยว่ามีสาวสวยเอเชียนั่งอยู่สองคน

  “มีร่า ถามเหมือนหึง” แบรดลี่ย์หันมาตวัดหางตามองคู่ขาคนสวยทันที

  “ไม่มีใครกล้าหึงคุณหรอกค่ะ ถ้าคุณไม่อนุญาต”

  “เยี่ยม ให้มานั่งทานอาหารเป็นเพื่อน ไม่ได้ให้มานั่งหึงถูกต้องแล้ว”

  “ชอบเหรอคะ สองสาวนั่นน่ะ” มีร่าถามอีกครั้งทำให้คนถูกถาม ถึงกับตวัดหางตามองอย่างเอาเรื่อง มีร่าจึงต้องหุบปากในทันที

  “ไม่ถามก็ได้ค่ะ”

  “ก็ดี” จากนั้นทั้งสองจึงหยุดการสนทนา และรอจนกระทั่งอาหารถูกนำมาเสิร์ฟวางตรงหน้า เมื่อถึงเวลาทานบอร์ดี้การ์ดทั้งหมดจึงทยอยออกไปจากห้องอาหารเพื่อรออยู่ด้านนอก เช่นเดียวกันรสากับลลิลยากลับรู้สึกว่าถูกมองจากสายตาคมกริบที่บาดลึก โดยเฉพาะสายตาคู่นั้นจ้องมองลลิลยาราวกับจะให้หลอมละลาย

  “เป็นอะไรลิลเหมือนทานไม่อร่อย” รสาถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นลลิลยาดูกระอักกระอ่วน กินอะไรไม่ค่อยลง

  “โดนคนจ้องใครจะทานอร่อย สายตาอย่างกับ... ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย” ลลิลยาบอกพร้อมกับก้มหน้าทานต่อไป เพราะไม่มองคนที่กำลังเอ่ยถึง

  “ใครเหรอ อย่าบอกนะว่าโต๊ะนั้นที่มากับผู้หญิงน่ะ หล่อมาก” รสาออกปากชมอย่างตื่นเต้น

  “ลิลไม่ได้มองว่าเขาหล่อ ลิลมองว่าเขาน่ากลัว เขามองเราอย่างกับเราไปทำอะไรผิดมา”

  “เออใช่สาก็รู้สึกอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้เกร็งเท่าไหร่ ที่นี่ก็อย่างนี้แหละ คนมีอิทธิพลชอบมองแขกแปลกหน้าแบบนี้”

  “คนมีอิทธิพลเหรอ สารู้จักเหรอ”

  “ไม่รู้จักหรอก แต่ไม่เห็นเหรอการ์ดเยอะขนาดนั้น แถมยังมีผู้หญิงมาด้วย ท่าทางจองหอง ลักษณะมาเฟียชัดๆ”

  “มาเฟียเหรอน่ากลัวจัง” ลลิลยาชักสีหน้าขยาดขึ้นมาทันที

  “เราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา ไม่ต้องกลัวหรอก”

  “ค่อยโล่งอก แต่ดูเหมือนเขามองลิลแปลกๆ”

  “กลุ่มผู้มีอิทธิพลพวกนี้ชอบมองแต่สาวๆ ทั้งนั้นแหละชี้เอาเป็นว่าเล่น แต่อย่างว่านะใครที่ได้เป็นผู้หญิงของมาเฟียเนี่ยรวยไม่รู้เรื่องๆ พอๆ กับเป็นผู้หญิงของท่านชีคเลย ขอแค่ทำให้ชายพอใจ”

  “ทำไมสารู้ดีจัง”

  “แหะๆ ลิลก็รู้ว่าสาชอบมาเที่ยวคาสิโนบ่อยๆ เลยรู้อะไรพวกนี้เพราะถามเพื่อนฝรั่งด้วยกันน่ะ”

  “พวกคนไม่มีเงินเหรอที่ยอมเป็นอีหนูน่ะ”

  “เปล่านะ ระดับซุปเปอร์โมเดล คนธรรมดาเขาไม่มองหรอก คนรวยพวกนี้เวลาควงทีต้องเอาให้สมหน้าสมตา”

  “รู้ดีอีกแล้ว” ลลิลยาแอบประชดเพื่อนยิ้มๆ

  “อยากเป็นหนึ่งในผู้หญิงมาเฟียเหมือนกันนะ เพราะจะได้รวยไม่รู้เรื่องเลยไง”

  “พูดเป็นเล่นตัวเองก็รวยจะแย่แล้ว”

  “ล้อเล่น ไม่เอาหรอก พวกนี้ทำให้พอใจก็ดีไป ทรยศเมื่อไหร่สงสัยจะกลายเป็นศพ หรือไม่ก็ทำร้ายร่างกาย”

  “ไม่เอาแล้ว สาไม่ต้องเล่าน่ากลัวมาก น่ากลัวกว่ามาเฟียบ้านเราอีก”

  “ก็เพราะว่าที่นี่อันตรายมากไง มาเฟียระดับโลกก็อยู่นี่”

  “ไม่น่าพามาทานอาหารที่นี่เลย ร้านอาหารธรรมดาก็มี พูดไปพูดมาเหมือนอีตามะกันนั้นเป็นมาเฟียเลยอ่ะ”

  “โอ้โห๋ คาดว่าตัวพ่อเลยจ้ะลิล”

  “พอแล้วรีบกินให้เสร็จแล้วเราไปที่อื่นกันดีกว่า” ลลิลยาชักกลัวเพราะสีหน้าและแววตาของผู้ชายคนนั้นน่ากลัวเหมือนอย่างที่รสาพูดไว้ไม่มีผิด เขาอาจจะเป็นมาเฟียก็เป็นได้

  “งั้นรีบกินจ้ะ” จากนั้นสองสาวจึงลงมือทานอย่างรวดเร็ว

  ขณะเดียวกันทางด้านแบรดลี่ย์ก็เหลือบมองสองสาวเป็นระยะเช่นกัน อะไรบางอย่างทำให้เขาละสายตาจากผู้หญิงตาโตแก้มป่องคนนั้นไปไม่ได้ ใช่ว่าจะปลาบปลื้มเหมือนเห็นผู้หญิงสวย แล้วอยากจะลากมานอนด้วยก็เปล่า แต่ทำไมเขาต้องมองให้ตายสิ

  “อิ่มหรือยังมิร่า” แบรดลี่ย์ถามคู่ขาอย่างหงุดหงิดใจเพราะอยากจะไปจากตรงนี้เสียให้พ้นๆ

  “เอ่ออะไรนะคะ เราจะรีบไปไหนคะ” เธอยังดื่มด่ำกับรสชาติของสะเต็กเนื้อวัวได้ไม่ถึงครึ่งเลยน่ะสิ

  “ถามว่าอิ่มหรือยัง ถ้ายังไม่อิ่มก็ทานต่อ ฉันจะออกไปสูดอากาศ” พูดจบแบรดลี่ย์ก็ลุกไปอย่างไม่แคร์อีกครั้ง ทิ้งให้มีร่าเอ๋อรับประทานและนั่งนิ่งชั่วครู่เธอจึงหยิบกระเป๋าถือแล้วเดินตามออกไปทันที

  แต่แบรดลี่ย์กลับไม่ได้เดินออกมาสูดอากาศด้านนอกโรงแรมอย่างที่คิด ชายหนุ่มพร้อมกับบอร์ดี้การ์ดอีกห้าคนกลับเดินตรงไปยังห้องทำงานซึ่งอยู่ชั้นล่างและติดกับคาสิโน โดยให้บอร์ดี้การ์ที่เหลือเฝ้าอยู่ด้านนอกเพื่อไม่ให้ใครรบกวน และทันทีที่แบรดลี่ย์เก็บตัวอยู่ในห้อง กลับมีรถเก๋ง BMW สีดำสกรีนคำว่า Police ไว้ที่ข้างรถตัวเบอเริ่มแล่นเข้ามาจอดหน้าโรงแรมพอดี ทำให้เหล่าบอร์ดี้การ์ดซึ่งอยู่ด้านหน้าโรงแรมนึกสงสัยอยู่ไม่น้อย กระทั่งตำรวจนอกเครื่องแบบสองคนลงมาจากรถพร้อมกับชูตราให้เห็นชัดๆ บอร์ดี้การ์ดทั้งหมดจึงพากันเดินมาขวางตำรวจเอาไว้

  “ไงครับคุณตำรวจ” บอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งชื่อแฟรงค์เอ่ยทักทายขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ พลางยิ้มมุมปากบางๆ ตำรวจหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตัวเอง

  “เราอยากจะขอเข้าพบคุณแม็คคอย” ตำรวจยศหมวดนามเพียชเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ

  “เรื่องอะไรครับ บอกได้ไหม เพราะถ้าบอกได้ บอกกับผมเลย ผมแฟรงค์” แฟรงค์ถามกลับอีกครั้ง

  “บอกได้ครับ แต่ผมขอเข้าพบคุณแม็คคอยด้วย” ตำรวจหนุ่มยืนกรานที่จะเข้าพบแบรดลี่ย์เช่นเดิม

  “หึ เห็นทีคงจะยากหน่อย คุณแม็คคอยทำงาน และอีกอย่างเราไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าพบ ที่สำคัญแค่ตำรวจธรรมดาสองคนจะมาขอเข้าพบคุณแม็คคอย ไม่ง่ายนะครับ” ก็จริงอย่างที่แฟรงค์บอกแต่มันมีความจำเป็นนี่นะ

  “ดูท่ามาตราการรักษาความปลอดภัยของพวกคุณจะแน่นหนามาก เล่นไม่ให้ใครเข้าใกล้เจ้านายได้เลย”

  “ฮ่าๆ แน่นอนขอบคุณที่ชม ถ้าจะให้ดี เชิญที่ห้องรับแขก คุยกับผม” แฟรงค์กล่าวพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่มอีกครั้ง

  “ตกลงจะไม่ให้พบคุณแม็คคอยจริงๆ ใช่ไหม”

  “แน่นอนครับ ผมบอกแล้วว่าเชิญที่ห้องรับแขก” แฟรงค์บอกด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น ก่อนจะเอี้ยวตัวเดินกลับเข้ามาในโรงแรม และตรงมายังหน้าล็อบบี้โรงแรม ซึ่งมีโซฟารับแขกกำมะหยี่สีแดงสุดหรู จากนั้นแฟรงค์จึงหันกลับมาและเชิญให้ตำรวจทั้งสองนั่งลง

  “เชิญครับ” แฟรงค์ผายมือเชิญ จากนั้นสองหนุ่มจึงนั่งลงด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น แล้วแฟรงค์จึงได้นั่งตาม ส่วนบอร์ดี้การ์ดคนอื่นๆ ล้อมโซฟารับแขกเอาไว้ เพียชจึงเงยหน้ามองทุกคนอย่างหงุดหงิดใจ เพราะไม่เข้าใจว่าจะตามอะไรนักหนา

  “ผมขอคุยกับคุณคนเดียวได้หรือเปล่า ทำไมต้องมายืนล้อมเอาไว้แบบนี้” เพียชเอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้ว เพราะชายหนุ่มกำลังรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำความผิดเสียอย่างนั้น

  “ไม่ได้ครับ การ์ดทุกคนสามารถรับรู้เรื่องคุณแม็คคอยได้เหมือนกันครับ”

  “หึหึ แน่นอนล่ะ กันไม่ให้คนเข้าถึงตัวเจ้านาย”

  “พูดมาเถอะครับว่ามีเรื่องอะไร”

  “ผมจะมาบอกข่าวกับเจ้านายคุณหรือพรรคพวกคุณเอาไว้ก่อน ให้ระวังตัวเอาไว้หน่อยนะครับ” ฟังดูเหมือนตำรวจคนนี้จะมีน้ำใจ แฟรงค์คิด

  “เรื่องอะไรครับ” แฟรงค์ถามอย่างสงสัยอีกครั้ง

  “สายของผมรายงานว่า เห็นเด็กคนหนึ่งไปส่งยาให้ลูกค้าไม่ใช่น้อยๆ เป็นกิโลใกล้ๆ กับย่านคลาร์กเคาน์ตี้”

  “แล้วเด็กคนนั้นเกี่ยวอะไรกับพวกผมล่ะครับ”

  “สายของผมบอกว่า เด็กคนนั้นทำงานกับพวกคุณ” เพียชบอกเสียงเรียบ

  “มันเป็นแค่คำรายงานจากสายของคุณเท่านั้นเหรอครับ มีหลักฐานหรือเปล่า” เมื่อแฟรงค์ถามจบ เพียชจึงชูซองสีน้ำตาลให้แฟรงค์ดูทันทีเขาจึงเปิดซองดู และภาพที่เห็นก็คุ้นหน้าเสียด้วย

  “ทราบชื่อว่าโจนาธาน ไรท์ ผมจะจับก็ได้แต่...”

  “แต่เพราะเป็นคุณแม็คคอยคุณถึงไม่กล้า”

  “ใช่ คุณแฟรงค์ ผมสามารถจับเด็กคนนั้นได้เลยถ้าเจอตัว แต่นี่ไม่เจอ ผมมาถามอย่างสุภาพว่าเด็กคนนั้นอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ”

  “แล้วถ้าเจอคุณจะทำยังไง จะทำให้เจ้านายผม หรือพวกผมกลายเป็นผู้ต้องสงสัยให้เด็กคนนั้นทำหรือเปล่า”

  “เอ่อ ผมไม่มั่นใจ คุณแม็คคอยเคยมีคดีพัวพันยาเสพติดมาก่อน จึงไม่ยากถ้าจะกลับไปทำอีก”

  “นั่นมานานแล้วมา และเจ้านายผมก็ไม่ได้ทำด้วย เป็นการเข้าใจผิด ถ้าคุณอยากได้ตัวเด็กคนนั้นไปคุณต้องตามหาเอง อย่ามาตามที่นี่คนแบบนั้นผมไม่ให้เข้ามาในคาสิโนเป็นอันขาด” แฟรงค์บอกเสียงเรียบ

  “แต่ผมต้องบอกคุณแม็คคอยเอาไว้ล่วงหน้า อยากให้ระวังตัว ถ้าไม่อยากให้ต้องสงสัย”

  “คงต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลมสินะครับ”

  “วันนี้ผมแค่มาบอก ไม่ได้จะมาหาเรื่องเขา ใครจะกล้า ขนาดเข้ามาถึงในนี้คุณยังไม่ให้ผมเข้าพบเลย”

  “ต้องขอโทษคุณตำรวจ มีบุคคลสองกลุ่มที่คุณแม็คคอยไม่ให้เข้าพบ หนึ่งตำรวจ สองมาเฟียค้ายา”

  “ฮ่าๆ เขาระวังตัวแจเชียว ผมอยากจะเตือน ระวังลูกน้องเอาไว้หน่อยเพราะมันอาจจะทำให้พวกคุณหรือคุณแม็คคอยกลายเป็นแพะไม่รู้ตัว” มันเป็นความหวังดีสินะ

  “ขอบคุณมากที่ให้เกียรติเตือนครับคุณตำรวจ”

  “ผมทำได้แค่เตือน เพราะเจ้านายสั่งมาอย่างนี้ คุณแม็คคอยมีบุญคุณกับตำรวจเพราะเคยบอกเบาะแส แต่ผมไม่อยากให้เป็นคนทำเสียเอง และถ้าผมจะเอาตัวโจนาธาน ไรท์ไปสอบสวน คุณคงไม่ว่า”

  “ถ้าหาตัวมันได้ก็เชิญตามสบายครับ แต่อย่าให้รู้นะว่าคุณกล่าวหาคุณแม็คคอย ไม่งั้นคุณจะไม่ได้มาเหยียบที่นี่ รวมทั้งคุณจะหลุดจากตำรวจกระเด็นออกไปจากรัฐนี้” แฟรงค์ไม่ได้ขู่แต่สามารถเอาจริงได้ทันทีหากตำรวจคิดจะทำอย่างที่พูด แต่การที่ตำรวจไม่ดันทุรังเพื่อที่จะเข้าไปพบแบรดลี่ย์ให้ได้ เท่านี้ก็ถือว่าให้เกียรติมากเช่นกัน

  “ผมเพิ่งย้ายมาที่นี่ แต่ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นตำรวจแต่ถูกขู่เสียเอง”

  “ผมเปล่าขู่ แต่คุณควรจะกลัวและให้เกียรติน่ะถูกต้องแล้ว”

  “ผมคงต้องกลับ และจะหาทางสืบให้ได้ว่าเด็กคนนั้นเกี่ยวกับพวกคุณไหม หวังเหลือเกินครับว่าจะไม่ใช่”

  “แน่นอนครับ เชิญครับคุณตำรวจ” แฟรงล์เอ่ยขึ้นและผายมือไปทางประตูเพื่อเป็นการไล่ทางอ้อม จากนั้นตำรวจทั้งสองจึงลุกเดินกลับออกไปด้วยความผิดหวัง และเมื่อตำรวจกลับไปแล้วแฟรงค์จึงปรายตาหันมามองบอร์ดี้การ์ดคนอื่นๆ เพื่อที่จะถาม

  “โจนาธาน โรท์ มันอยู่ไหน” แฟรงค์ถามเสียงเรียบ

  “เป็นพนักงานเสิร์ฟในคาสิโน และติดเล่นสล็อต” บอร์ดี้การ์ดคนหนึ่งเป็นคนตอบ

  “ไปจัดการหาตัวมันมา ฉันจะไปบอกคุณแบรด”

  “ได้ครับคุณแฟรงค์” จากนั้นบอร์ดี้การ์ดอีกสามคนจึงพากันเดินเข้าไปในคาสิโน เพื่อนำตัวเด็กหนุ่มที่ชื่อโจนาธานมาให้ ขณะที่แฟรงค์ก็เข้าไปรายงานแบรดลี่ย์ถึงในห้องทำงานเพียงคนเดียว เพราะต้องให้ลูกน้องรออยู่หน้าห้องเช่นเคย

  ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! แฟรงค์เคาะประตูอย่างมีมารยาทและรอจนกระทั่งมีคนมาเปิดให้ ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปและปิดประตูเสียให้เรียบร้อย

  “คุณแบรดครับ” แฟรงค์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกร็งๆ พลางก้มหน้าลงเล็กน้อย เพราะไม่กล้ามองหน้าเจ้านายหนุ่มตรงๆ ซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงานและยืนขนาบซ้ายขวาด้วยบอร์ดี้การ์ดมือพระกาฬ

  “ตำรวจมาเหรอ” แบรดลี่ย์ถามเสียงเรียบราวกับรู้ความเป็นไปของด้านนอกทั้งหมด

  “ครับ คือ ทราบได้ยังไงครับ” แฟรงค์ถามอย่างแปลกใจ แบรดลี่ย์จึงชี้นิ้วมาที่จอคอมพิวเตอร์ซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเอง โดยออนไลน์เข้ากับกล้องวงจรปิดภายในโรงแรมทั้งหมด เท่านั้นแหละแฟรงค์พยักหน้าทันที

  “มีอะไรหรือเปล่า” แบรดลี่ย์ถามเสียงเข้มขึ้น

  “มาขอเข้าพบคุณครับแต่ผมไม่ให้เข้ามา”

  “ดีมาก แล้วมันมาทำไม”

  “คือนี่ครับ ตำรวจมาบอกให้เราทราบว่าคนของเราแอบไปส่งยาใกล้ๆ กับย่านคลาร์กเคาน์ตี้ครับ” พูดจบแฟรงค์จึงยื่นซองสีน้ำตาลส่งให้กับแบรดลี่ย์ทันที

  “คนของเราเหรอ มันเป็นใคร” แบรดลี่ย์เปิดซองออกดูพลางขมวดคิ้วเพราะไม่รู้จักหน้า

  “โจนาธาน ไรท์ คุณอาจจะไม่รู้จัก แต่เขาเป็นพนักงานเสิร์ฟเครื่องดื่มในคาสิโนครับ ผมกำลังให้คนตามมาพบ คุณอยากพบเขาหรือเปล่า” แฟรงค์จำเป็นต้องถามเสียก่อนเพราะ แค่พนักงานตัวเล็กๆ แบรดลี่ย์ไม่ค่อยให้ความสำคัญนัก

  “ในเมื่อตามมาพบแล้วก็พาเขามา” แบรดลี่ย์ตอบเสียงเรียบ

  “ดูคุณไม่ค่อยจะทุกข์ร้อนสักเท่าไหร่ ไม่โกรธเหรอครับ” แฟรงค์ถามด้วยความแปลกใจ

  “ยังไม่ถึงเวลา แล้วตำรวจต้องการอะไรอีกนอกจากมาบอกเรา”

  “ความจริงเขาอยากจะเข้ามาหาคุณครับ และบอกว่าจะขออนุญาตจับลูกน้องเราแต่หาไม่เจอ ตำรวจสงสัยคิดว่าเป็นคุณที่สั่งให้ทำ”

  “ขออนุญาตอย่างนั้นเหรอ ตำรวจคนนี้น่ารักจัง ดีแล้วที่ไม่ให้ตำรวจเข้ามาพบฉัน ”

  “เพิ่งย้ายมาใหม่ครับ กล้าๆ กลัวๆ เรา ตำรวจฝากบอกว่าให้ระวังตัวครับ”

  “มันเป็นคำขู่หรือเปล่า” แบรดลี่ย์ถามพลางขมวดคิ้วทันที

  “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เหมือนเป็นห่วงมากกว่า ตำรวจกลัวคุณมาก”

  “ขนาดกลัวยังมาเหยียบถึงที่นี่ ถ้าไม่กลัวคงเข้ามาหาฉันในห้องนี้” แบรดลี่ย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ

  แต่ในขณะที่แบรดลี่ย์กำลังฟังแฟรงค์รายงานสถานการณ์อยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง ฉุดให้การสนทนาต้องชะงักทันที

  ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างมีมารยาท บอร์ดี้การ์ดที่ยืนอยู่ตรงประตูจึงเปิดประตูทันที เผยให้บอร์ดี้การ์ดสองคนกำลังคุมตัวเด็กหนุ่มที่แบรดลี่ย์ไม่คุ้นหน้าเข้ามาหา

  “ขอนุญาตครับคุณแบรด” บอร์ดี้การ์ดที่นำตัวเด็กหนุ่มเข้ามาเอ่ยขึ้น

  “มานี่ เดี๋ยวนี้” แบรดลี่ย์สั่งเสียงเรียบ จากนั้นบอร์ดี้การ์ดทั้งสองจึงเอาตัวโจนาธานเข้ามาหาช้าๆ เด็กหนุ่มถึงกับเกิดอาการประหม่าทันทีและก้าวขาไม่ออก เพราะไม่เคยเข้าใกล้แบรดลี่ย์ขนาดนี้หรือแทบจะไม่ได้เห็นหน้ากันด้วยซ้ำ

You may also like

Download APP for Free Reading

novelcat google down novelcat ios down