ซูลั่วหลี เดิมทีเป็นบุตรสาวแห่งจวนขุนนางอันหนิงในเมืองหลวงจิงตู องค์หญิงหลิวหลีที่องค์จักรพรรดิได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เอง และยังเป็นพระขนิษฐาของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน โดยเมื่อพระชนมายุเพียงแค่ 16 พรรษา ซึ่งทรงมีพระปรีชาสามารถโดดเด่นมากที่สุดในเมืองหลวง เมื่อนางอายุ 18 ปี จวนขุนนางอันหนิงถูกกล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดและทรยศทั้งหมด ถูกประหารตัดหัวทั้งตระกูล เสร็จพี่ของนางยังถูกปลดฐานันดรศักดิ์ออกจากตำแหน่งฮองเฮาและต้องไปพำนักที่ตำหนักเย็น ซูลั่วหลีตายแล้ว แต่กลับเกิดใหม่เป็นลูกสาวชาวนาที่บังคับขืนมีอะไรกับนักพรานในหมู่บ้านได้สําเร็จ นางตัดสินใจจะใช้ชีวิตต่อไปในฐานะซูจ้าวตี้ ! แม้ว่าซูจ้าวตี้จะมีหน้าตาอัปลักษณ์ เสียชื่อ เกิดมาในครอบครัวยากจนและยังมีญาติที่ชอบหาเรื่อง แต่แล้วยังไงล่ะ อย่างแรกนางก็ต้องมีชีวิตต่อไปให้ดีจงได้ จะต้องมีสักวันที่นางจะได้กลับไป ยังมีเสด็จพี่ที่ถูกพำนักตำหนักเย็นกําลังรอนางไปช่วย ! แต่ทําไมนางถึงพบว่าสามีในนามของนางเริ่มผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ การตามนางมาถึงเมืองหลวงจิงตูหมายความว่าอย่างไร ทําไมยังต้องช่วยนางแก้แค้นด้วย "หัวใจของข้า เจ้าไม่รู้หรือ" จี้หมิง สามีในนามของนางตอบ
บริเวณครึ่งทางของภูเขาลั่วเซี่ย ภายในกอพุ่มไม้ที่เต็มไปด้วยวัชพืช เสียงลนลานหวาดกลัวของหญิงสาวดังแว่วมา "ไม่ใช่ว่าหาผู้ชายอยู่หรอกเหรอ ใครบอกพวกเจ้าว่าข้าจะหาไม่ได้ ?"
ลมหายใจของนางสั่นไหวเล็กน้อย วัชพืชที่ขึ้นสูงถึงครึ่งเอวที่อยู่ล้อมรอบก็สั่นไหวเพราะการเคลื่อนไหวของนาง
ชายที่ถูกนางกดไว้อยู่ที่พื้นใต้ลำตัว มีใบหน้าที่เย็นยะเยือก สายตาแฝงไปด้วยเจตนาฆ่าที่รุนแรง
สาวคนนั้นเมื่อเห็นเช่นนี้ ก็ยื่นมือออกไปจับที่คางของชายคนนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างสบายใจ
"จี้หมิง ข้าเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์งามสะพรั่งที่ให้เจ้าได้ทุกอย่าง แล้วทำไมเจ้ายังมีท่าทีเช่นนี้อยู่ ? หรือว่าข้ายังไม่ได้ทำให้เจ้าพอใจใช่รึไม่ ? งั้นเจ้าก็ต้องรับผิดชอบข้าแล้วล่ะ"
จริง ๆ เมื่อพูดถึงเรื่องความสวย ก็คงจะไม่คู่ควรกับหญิงคนนี้ได้จริง ๆ ใบหน้าด้านซ้ายที่มีปานดำซึ่งกินพื้นที่ไปเกือบหนึ่งในสามของใบหน้า รูปลักษณ์ใบหน้าที่ไม่โดดเด่น ผนวกกับการทำนามานานแรมปี ใบหน้านั้นเรียกได้ว่าเวทนาเกินกว่าที่จะทนดูได้
ในทางกลับกันกับชายที่ถูกกดอยู่ด้านล่าง กลับมีคิ้วดกเข้มและดวงตาที่กลมโต ผิวพรรณสีรวงข้าวสุขภาพดี รูปลักษณ์สมส่วนหล่อเหลาและแข็งแกร่ง
ในเวลานี้สายตาของชายผู้นั้นแฝงไปด้วยความอาฆาตที่จับจ้องไปยังบางอย่างที่อยู่ด้านหลังของซูจ้าวตี้ ราวกับว่ามีช่วงพริบตาหนึ่งที่ต้องการอยากจะเตือนนาง แต่เพียงต่อมาดวงตาของเขาก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง เขาเพียงแต่เฝ้าดูงูหลามอย่างเงียบ ๆ ที่ลุกขึ้นมาเหมือนกับคนกัดไปที่คอของหญิงคนนั้น หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ร่างทั้งตัวของนางก็ล้มทับลงบนตัวของชายผู้นั้น
จี้หมิงถอนหายใจออกมา จากนั้นใช้แรงผลักร่างของหญิงคนนั้นออกไป เขารั้งพยุงต้นไม้เพื่อยืนขึ้น จัดแจงเสื้อผ้าของเขาเอง จากนั้นก็ก้มลงหยิบดาบผ่าฟืนและคันธนู เมื่อมองหันไปยังร่างที่เสื้อผ้ายับเยินนอนแผ่อยู่ที่พื้น ดูเหมือนว่าหญิงนางนั้นไร้ซึ่งลมหายใจไปแล้ว สายตาของเขาก็มีประกายเย็นชาอาฆาตขึ้นมาพร้อมกับกระชับดาบผ่าฟืนในมือเขาจนแน่น ต่อมาเขาก็ผ่อนมือที่กำแน่นนั้นลง พร้อมกับเดินโซเซไปยังข้าง ๆ พร้อมกับสะบัดมือคลุมผ้าเนื้อหยาบที่หญิงคนนั้นโยนทิ้งไว้ข้าง ๆ เมื่อสักครู่ไปอย่างลวก ๆ เพียงผ้าปกคลุมลงบนตัวนาง ก็ปลีกตัวจากไปในทันที
ณ ตอนพลบค่ำ สุนัขป่าตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างศพของหญิงสาวที่เริ่มจะเย็นแล้ว มันดมกลิ่นศพนั้นสองสามครั้ง และเอียงศีรษะไปมาอย่างรังเกลียด จากนั้นก็เดินวนไปรอบ ๆ ศพนั้นอยู่หลายรอบ ราวกับกำลังมองหาตำแหน่งที่เหมาะสมที่จะฝังเขี้ยวลงไป
ขณะสุนัขป่าเข้ามาใกล้ซูลั่วหลี ในที่สุดซูลั่วหลีก็เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ของนาง นางกลับมาเกิดใหม่อย่างไม่คาดคิด
เดิมทีนางเป็นบุตรสาวแห่งจวนขุนนางอันหนิงในเมืองหลวงจิงตู จวิ้นจู่หลิวหลี(จวิ้นจู่ หมายถึง ตำแหน่งองค์หญิงหรือท่านหญิง)ที่องค์จักรพรรดิได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เอง และยังเป็นพระขนิษฐาของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน โดยเมื่อพระชนมายุเพียงแค่ 16 พรรษา ซึ่งทรงมีพระปรีชาสามารถโดดเด่นมากที่สุดในเมืองหลวง
แน่นอนว่าพระปรีชาสามารถที่โดดเด่นนั้นไม่ใช่ทั้งด้านอักษรศาสตร์และศิลปกรรมหรือรูปลักษณ์ความงาม แต่เป็นการกระทำอันโง่เขลา ไร้ยางอาย จิตใจที่เลวทราม คนทั้งเมืองหลวงจิงตูล้วนต่างเรียกร้องให้เฆี่ยนตีกันทั้งหมด
ว่ากันว่าเพียงแค่นางเห็นคุณชายรูปงาม นางก็จะหลงจนหัวปักหัวปำและก็จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เป็นที่โปรดปราณ ว่ากันว่านางเลี้ยงคนลองยาเอาไว้จำนวนมากและมักจะป้อนยาพิษต่าง ๆ ให้กับพวกเขาเพื่อทรมานและเพื่อความสนุกของนางเอง
เคยมีขุนนางฝ่ายตรวจสอบอายุน้อยผู้หนึ่ง เหตุเพราะปรักปรำนางต่อหน้าพระที่นั่งขององค์จักรพรรดิ ต่อมาถูกฮองเฮาปกป้องเอาไว้ชายคนนั้นจึงถูกปลดออกจากตำแหน่งทันที และหายตัวไปอย่างไร้เงา ว่ากันว่าถูกซูลั่วหลีจับตัวให้กลายเป็นคนลองยา
เมื่อนึกถึงวันที่ทุกคนตะโกนให้ทุบตีนาง ซูลั่วหลีก็ยิ้มเยาะออกมาอย่างเย็นชา ไอพวกเบาปัญญาก็มักจะได้ยินแต่คำบอกเล่า
นางค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งช้า ๆ แล้วหันหน้าไปมองสุนัขป่าที่กำลังจะฝังเขี้ยวกัดนาง
“ถ้ายังไม่อยากตายก็ไสหัวไปไกล ๆ ข้าไม่อยากฟื้นชีพขึ้นมาแล้วต้องมาคร่าชีวิต”
สุนัขป่าตัวนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากมองไปที่ซูลั่วหลีสักพัก มันก็หันกลับเดินจากไป แน่นอน สุนัขดุร้ายก็ยังกลัวคนชั่วช้าเช่นกัน
ซูลั่วหลียกมือขึ้นและมองดูร่างกายของนางและขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ช่างผอมเกินไปแม้กระทั่งแขนและขาก็บอบบาง แค่ลมพัดกระโชกก็ปลิวแล้วมั้ง ? ร่างกายเช่นนี้จะช่วยให้นางแก้แค้นได้เหรอ ?
ทันใดนั้นความเกลียดชังที่รุนแรงก็ฉายวาบในดวงตาของซูลั่วหลี ทำให้ดวงตาที่ใสแต่เดิมของนางปรากฏเป็นเส้นเลือดสีแดงเต็มดวงตาอย่างรวดเร็ว
เสียงกรีดร้องเสียดแทงหัวใจในจวนขุนนางอันหนิงยังคงก้องอยู่ในหูของนาง ปรากฏเป็นภาพตรงหน้าที่ล้วนเป็นเลือดสีแดงทั้งหมดบาดตาเข้ามา เมื่อซูลั่วหลีอายุ 18 ปี จวนขุนนางอันหนิงถูกกล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดและทรยศทั้งหมด ถูกประหารตัดหัวทั้งตระกูล ใครที่ไม่เชื่อฟังจะถูกเข่นฆ่าในทันที ฮองเฮาซูลั่วชิงยังถูกกล่าวหาว่าทำร้ายรัชทายาทขององค์จักรพรรดิในวัง จนถูกปลดฐานันดรศักดิ์ออกจากตำแหน่งฮองเฮาและต้องไปพำนักที่ตำหนักเย็นในทันทีเช่นกัน