About
Table of Contents
Comments

  ยายทวดของฉันเป็นชาวมอญโดยกำเนิด มีอาชีพรับจ้างร้องไห้หน้าศพ อันที่จริงแล้วงานของยายน่าจะเรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมแสดงความเคารพและรำลึกต่อผู้ตาย

  ยายทวดของฉันชื่อ ‘แก้ว’ และยังมีน้องสาวอีกสามคนที่มีชื่อคล้องกันน่ารัก คือ ‘แหวน’ ‘เงิน’ และ ‘ทอง’ สี่สาวพี่น้องต่างช่วยกันทำมาหากินประกอบอาชีพนางร้องไห้หน้าศพมาตั้งแต่เริ่มเข้ารุ่นสาว เพราะเป็นงานที่สืบทอดมาในตระกูลหลายช่วงคนแล้ว

  ทวดแก้วเป็นคณะนางร้องไห้รุ่นแรก ที่เปลี่ยนจากการร้องไห้คร่ำครวญถึงผู้ตาย มาเพิ่มเป็นการประพันธ์บทร้องที่เรียกว่ากลอนรำพัน เพื่อบรรยายคุณงามความดี สดุดีผู้ตายตามรายละเอียดที่ทางครอบครัวให้มาก่อนจะรับงาน ทำให้รูปแบบของพิธีร้องให้หน้าศพม่มิติที่ลึกขึ้น และเป็นที่พอใจของบรรดาเจ้าภาพ

  ตอนหลังๆ งานร้องไห้หน้าศพได้รับความนิยมน้อยลง คณะนางร้องไห้แก้วแหวนเงินทองก็ยังคงมีงานต่อเนื่อง เพราะคนยังอยากแสดงความเคารพต่อผู้หลักผู้ใหญ่หรือพระสงฆ์ที่มีคนนับหน้าถือตามากให้สมเกียรติ ทวดแก้ว ทวดแหวน ทวดเงิน ทวดทอง สืบสานงานนี้กันมาเรื่อยจนแก่เฒ่า และเริ่มล้มหายตายจาก แต่ยังมีลูกศิษย์ลูกหาที่มองเห็นคุณค่าและอยากร่วมอนุรักษ์ มาขอเรียนรู้การแต่งกลอนรำพันและการร้องไห้หน้าศพ จนเกิดเป็นคณะใหม่ ในภายหลัง เหลือเพียงทวดแก้วที่อายุเลยสามหลัก ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้แล้ว แต่ยังขอร้องให้พาไปติดตามดูลูกศิษย์ขับกลอนรำพันเสมอ

  ในที่สุดเมื่อถึงเวลาของทวดแก้วก็เป็นธรรมดาที่จะมีคนรักและอาลัยมาก เพราะแกทำคุณกับคนในชุมชนไว้มาก ลูกหลานพากันเตรียมตัวจัดงานศพ ในตอนนั้นเอง ที่ครอบครัวของทวดแก้วเริ่มมีปากเสียงกัน และทะเลาะกันในเรื่องที่ว่าฝ่ายหนึ่งต้องการให้มีการจัดงานศพแบบพุทธมีทำบุญ มีสวดศพเผาศพ และมีมหรสพรื่นเริง เพื่อเป็นการส่งทวดแก้วไปสวรรค์ให้ถือเป็นงานมงคล ไม่อยากให้มีเสียงคร่ำครวญ แต่อีกฝ่ายอยากให้มีพิธีขับกลอนรำพันตลอดเจ็ดคืน เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาของทวดแก้วที่ยังมีชีวิตอยู่ได้แสดงความคารวะทวดในฐานะครู

  ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่าความคิดตนถูก แต่ในที่สุดลูกหลานฝ่ายที่ว่า พวกตนดูแลทวดแก้วมานานโดยเฉพาะในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต น่าจะมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจเรื่องงานศพ อีกฝ่ายได้ยินอย่างนั้นก็น้อยใจ พากันถอนตัวจากการเป็นเจ้าภาพ และจบลงที่การตกลงยอมไม่ให้มีการขับรำพันในงานศพของทวดแก้วแต่เปลี่ยนเป็นจ้างวงลูกทุ่งชื่อดังมาเล่นแทน

  งานศพของทวดแก้วดำเนินไปถึงคืนสุดท้ายก่อนวันเผา ฉันยังได้ช่วยงานโดยการวิ่งไปมาเสิร์ฟน้ำและอาหารเลี้ยงแขก คืนนั้นวงลูกทุ่งแสดงอยู่ได้เพียงสองเพลง จู่ๆไปก็ดับพรึ่บลง เมื่อไฟติดขึ้นมาอีกครั้ง ลำโพงขนาดใหญ่ก็กระจายเสียงสวดรำพันพร้อมสะอึกสะอื้นดังโหยหวนกึกก้องไปทั่ววัด สุนัขในวัดพากันเห่าหอนคอตั้งบ่า ขนลุกกรูเกรียว

  คณะลูกทุ่งหาที่มาที่ไปของเสียงไม่ได้ เพราะไม่มีใครเปิดเทป ไม่มีใครยุ่งกับเครื่องเสียง พากันปอดแหก รีบเก็บข้าวของออกจากวัดไปโดยที่ไม่ฟังใครห้าม แต่ตอนนั้นทางญาติฝ่ายที่เป็นเจ้าภาพยังคิดว่า ญาติอีกฝ่ายอาจจะมากลั่นแกล้งที่งานศพทวดไม่ได้ดั่งใจ

  จนเย็นวันรุ่งขึ้น ในพิธีเคลื่อนศพทวดแก้วสู่เมรุ จู่ๆเกิดมีเมฆดำขนาดมหึมาลอยต่ำลงบดบังแสงอาทิตย์จนมืดครึ้มราวพลบค่ำ อากาศที่กำลังร้อนจัดกลับกลายเป็นเย็นเยือกจนหนาว อากาศอับชื้น หลายคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

  ทันใดนั้นเอง บนเมรุเผาศพ ท่ามกลางสายตาหลายร้อยคู่ ปรากฏร่างหญิงชราในชุดไทยมอญซิ่นดำ มุ่นมวยผม นั่งเรียงกันสามคนที่หน้าโลงทวดแก้ว คนเฒ่าคนแก่หลายคนตกใจจนหน้ามืด แต่อีกหลายคนยืนยันว่านั่นคือทวดแหวน ทวดเงิน และทวดทอง ในชุดที่เคยสวมประกอบพิธีร้องไห้หน้าศพ

  ตอนนั้นไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้บริเวณเมรุ แม้แต่สัปเหร่อก็ยังโดดลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครสังเกต แล้วเสียงหญิงชราสวดรำพันดังกระหึ่มเศร้าสร้อย ก็ดังกดลงมาจากเบื้องบนเหมือนลำโพงมหึมาตั้งอยู่บนฟากฟ้า

  ธูปเทียนบูชาถวาย สิบนิ้วนบน้อมประนมก้มกราบ ท่านอาจารย์แก้วผู้ประสาทวิชาสืบสาน ท่วงทำนองอาลัย บูชาผู้วายปราณ สละร่างเสียแล้วที่นี้ ลูกหลาน ศิษย์เบื้องหลังหลั่งน้ำตา ดั่งต้นโพธิ์ใหญ่ไร้รากแก้ว ล้มลงทั้งยืน เสียงสะอื้นไห้ดังก้องไปถึงฟากฟ้า ขอให้ดวงวิญญาณอาจารย์แก้วไปสู่ภพภูมิแห่งสุขคติเทอญ

  หลังจากกลอนรำพันแห่งความโศกเศร้าและเสียงร้องไห้โหยหวนตามขนบวิธีของคณะนางร้องไห้แก้วแหวนเงินทองที่ดังขึ้นมาอย่างปริศนาจบลงเมฆต่ำที่ครึ้มดำอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆจางหายไป ฟ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ แขกในงานร่วมกันขึ้นวางดอกไม้จันท์ สัปเหร่อจุดไฟเผาศพของยายทวดแก้ว ไฟลุกโชติช่วง เมื่อควันสีขาวบริสุทธิ์ล่องลอยจากพวยเตาเมรุเผาศพหายขึ้นไปบนฟ้า

  ลูกหลานทั้งสองฝ่ายและศิษย์ทวดแก้ว ต่างน้ำตาไหลพรั่งพรู ก้มลงกราบส่งดวงวิญญาณของแม่ครูให้ไปสู่สุคติ·

You may also like

Download APP for Free Reading

novelcat google down novelcat ios down