“คิดจะอ่อยฉันรึไงครองขวัญ?” “ปะ...ปล่อยนะคะ!” ฉันร้องบอก “อยู่นิ่งๆ สิ!” เจ้านายตัวดีเอ็ดฉันราวกับฉันเป็นเด็กสามขวบ ฉันหันกลับไปมอง พยายามทำตาดุเพื่อขู่ให้เขาปล่อย แล้วดิ้นรนบนตักกว้างนั้น “ยิ่งเธอดิ้น สะโพกของเธอก็ยิ่งเสียดสีกับอนาคอนด้าของฉันนะ แล้วถ้ามันถูกเสียดสีมากๆ รู้รึเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”----------------------------------------------------------------------------------------------ครองขวัญ จันทพร นักศึกษาปริญญาตรีปีสุดท้ายจำต้องมาเป็นคนรับใช้เพราะเหตุสุดวิสัย แต่ที่เธอไม่รู้มาก่อนเลยก็คือเจ้านายของเธอเป็นเพลย์บอยตัวพ่อที่ทั้งหล่อเหลาและเร้าใจ แถมยังเจ้าเล่ห์ซ่อนแผนการร้ายเอาไว้ภายใต้ท่าทีเฉยเมยนั่นอีกต่างหาก และที่ยิ่งแย่กว่านั้นคือเธอฟาดหัวเจ้านายของตัวเองเข้าให้ตั้งแต่วันแรกของการทำงานเพราะความเข้าใจผิด เลยต้องแก้ตัวด้วยการยอมทำตามคำสั่งของเขาทุกอย่างเพื่อเป็นการไถ่โทษ โดยที่ไม่รู้เลยว่าคำสั่งของเขานั้นมันจะเป็นเรื่องที่แสนจะเร้าใจแค่ไหนภาม ชลทรัพย์ โปรแกรมเมอร์หนุ่มสุดฮอตเจ้าของฉายาเพลย์บอยตัวฉกาจไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าแม่บ้านคนใหม่ของเขาจะเป็นยัยเฉิ่มแต่ซ่อนเสน่ห์เย้ายวนเอาไว้ เหมือนเธอจะเป็นแม่มดที่สาปให้เขาต้องมนต์เสน่ห์ของเธอโดยไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิด เธอทำให้เขาเสียการควบคุมตัวเอง จนตัดสินใจที่จะล่อลวงให้เธอหลงเพื่อครอบครองร่างกายของเธอจะได้หายจากอาการคลั่งไคล้บ้าๆ นี่เสียที โดยลืมระวังผลข้างเคียงจากแผนการล่อลวง ‘ยัยแกงจืด’ ว่าเขาอาจจะต้องแลกมันมาด้วยหัวใจของเขาเอง----------------------------------------------------------------------------“พูดสิ... พูดว่าเธอต้องการฉัน”“อ๊ะ!” เธอสะดุ้งสุดตัวเมื่อผมเล้าโลมเธออย่างนั้น ครองขวัญผวากอดผมเอาไว้แล้วซบหน้ากับบ่ากว้างของผม เสียงครางของเธอหอบกระเส่าเร้าใจเหลือเกิน “ฉะ...ฉันต้องการคุณค่ะ”“อืม..” ผมครางอย่างพอใจเมื่อเธอยอมพูดประโยคนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าตามแรงอารมณ์ แต่ผมยังไม่พอใจแค่นี้หรอกนะ “พูดว่า ‘ได้โปรดค่ะ... นายท่าน’ สิ”
เท้าบางเดินเข้าไปในบ้านขนาดสี่ห้องนอนซึ่งมีทั้งหมดสองชั้นพลางกวาดสายตามองหาเจ้าของบ้าน แต่ก็เงียบกริบ ไม่เห็นแม้แต่เงา
“อยู่ไหนนะ?” หญิงสาวตั้งคำถามกับตัวเอง คิ้วโก่งสวยขมวดมุ่น ก็ไหนพ่อของเขาบอกให้มาเจอเขาได้ เพราะวันนี้เขาอยู่บ้านไงล่ะ? นี่ไม่เห็นเลยสักคน “หรือว่าจะอยู่ข้างบน?”
ไม่รอให้ตัวเองสงสัยอยู่นาน เมื่อหญิงสาวตัดสินใจที่จะเดินขึ้นบันไดที่ทอดตัวขึ้นไปสู่ชั้นสองของบ้านสไตล์โมเดิร์นหลังนี้ แต่แล้วก็มีอันต้องชะงักเท้าเมื่อก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย ดวงตาหวานภายใต้แว่นสายตาหนาเตอะเหลียวซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังชั่งใจว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือขวาดี แล้วเสียงที่ดังแว่วๆ มาตามสายลมก็ทำให้เธอต้องเงี่ยหูฟัง
“อย่าค่ะภาม! อย่าทำอย่างนั้น!”
‘ภาม?’ จะใช่คนที่เธอมีธุระมาพบในวันนี้หรือเปล่านะ? แล้วทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องร้องเหมือนกำลังทรมานด้วยล่ะ? หรือว่า... จะถูกเจ้าของชื่อที่เธอเรียกทรมานอยู่นะ? ‘ไม่นะ! นี่เราต้องมาทำงานกับพวกจิตวิปริตเหรอ?’
สาวน้อยร้องถามตัวเองในใจอย่างตื่นกลัว ตั้งใจจะหมุนตัวแล้ววิ่งลงบันไดกลับบ้านไปเสีย เพราะคิดว่าเจ้านายคนใหม่ของตนจะเป็นพวกโรคจิตชอบจับผู้หญิงมาทรมาน แต่เมื่อนึกถึงเม็ดเงินที่จะได้จากงานนี้ทำให้เธอต้องระงับความกลัวเอาไว้ และบางที... ผู้หญิงคนนั้นอาจกำลังต้องการความช่วยเหลือจากเธออยู่ก็ได้ แม้เธอจะเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ก็น่าจะช่วยอะไรเหยื่อได้บ้างล่ะน่ะ!
หญิงสาวค่อยๆ ก้าวตามเสียงแผ่วๆ ที่ค่อยๆ ดังชัดเจนนั้นไปด้วยขาอันสั่นเทา มือบางกระชับสายกระเป๋าหนังคู่ใจใบใหญ่เอาไว้เพื่อระงับความกลัว กระทั่งเท้าเล็กๆ พาเธอมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่ง เสียงนั้นชัดเจนเข้าไปอีก เธอได้ยินเสียงผู้หญิงร้องโหยหวน
“ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยฉันด้วย!” และคำพูดนั้นเป็นเหมือนการเปิดสวิตช์ให้เธอเต็มไปด้วยความกล้าที่จะผลักประตูที่เปิดแง้มอยู่เข้าไป ทว่าสิ่งที่เห็นเบื้องหน้ากลับเป็นห้องโถงกว้างที่มีชุดโฮมเธียร์เตอร์ครบครัน และมีโซฟายาวตั้งอยู่ตรงกลางห้อง
“ต้องหาอาวุธป้องกันตัวก่อน” เธอกระซิบกับตัวเอง ก่อนเหลือบไปเป็นไม้เบสบอลวางอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถง หญิงสาวไม่ลังเลเลยที่จะเดินไปคว้าอาวุธนั้นมาไว้ในมือ อย่างน้อยมีเครื่องทุ่นแรงก็น่าจะดีสำหรับตัวเธอ
เหงื่อเริ่มออกจนชื้นไปทั่วฝ่ามือบางที่กระชับไม้เบสบอลเอาไว้มั่น ดวงตาหวานเบิกกว้างน้อยๆ อย่างตื่นเต้นและตื่นกลัว สาวเท้าเดินไปตามเสียงโอดโอยแสนทรมานของผู้หญิงคนนั้นที่ยังคงดังมาไม่หยุด กระทั่งเดินไปถึงประตูอีกบานภายในห้องนั้นที่กั้นกลางระหว่างโถงนั่งเล่นและอีกห้องซึ่งน่าจะเป็นห้องนอน
“ต้องอาศัยความเร็ว จะช้าไม่ได้” เสียงหวานเตือนตัวเองเบาๆ เมื่อหยุดรวบรวมกำลังใจที่หน้าประตูห้องนอน เธอจะช้าไม่ได้ ทุกอย่างต้องรวดเร็วไม่ให้คนร้ายตั้งตัว
คิดได้ดังนั้นมือบางก็ผลักบานประตูตรงหน้าเข้าไปอย่างแรง เห็นแผ่นหลังของคนร้ายอยู่บนเตียง เธอเงื้อไม้เบสบอลขึ้นสูง แล้วฟาดลงที่ตัวคนร้ายไม่ยั้งมือ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในชั่ววินาทีเดียวเท่านั้น และคนร้ายไม่มีโอกาสแม้แต่จะตั้งตัวสักนิด
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
“โอ๊ย!!!” เสียงคนร้ายร้องโอดโอยตลอดเวลาที่ถูกเธอทุบเหมือนปลาในตลาด ก่อนที่เธอจะเหวี่ยงปลายไม้เบสบอลฟาดเข้าถูกที่หน้าผากของคนร้ายในจังหวะที่เขาหันกลับมามองคนที่ทำร้ายตน “โอ๊ย!!!”
“นี่เธอทำบ้าอะไรเนี่ย?!!” เสียงตวาดแหวของผู้หญิงดังขึ้นทำให้มือที่กำลังจะฟาดคนร้ายอีกครั้งหยุดชะงัก หญิงสาวเบิกตามองสภาพผู้หญิงคนนั้น
“ก็ช่วยคุณไงคะ คุณกำลังโดนทำร้ายไม่ใช่เหรอ?” เธอตอบคำถามเกรี้ยวกราดนั้นด้วยดวงตาใสซื่อ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นโทสะร้อนๆ จากคนที่ตนคิดว่าเป็นเหยื่อเสียอย่างนั้น
“โดนทำร้ายบ้าอะไร! แหกตาดูซะบ้างว่าเรากำลังมีความสุขกันอยู่ แล้วเธอจะเข้ามาทำไมเนี่ย?!” เธอคนนั้นตวาดแหวอย่างไม่สบอารมณ์ และนั่นทำให้คนร่างบางภายใต้เสื้อผ้าแสนมิดชิดฉุกคิด
หญิงสาวมองสำรวจคนตรงหน้าก็พบว่าเธอคนนั้นมองมาด้วยสายเคืองๆ โดยมีผ้าห่มคลุมปกปิดร่างกายเอาไว้ ก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปมองชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่บนเตียงข้างๆ กัน ก็พบว่าตอนนี้เขากำลังนั่งกุมศีรษะข้างที่โดนเธอหวดเข้าให้ และเลือดสีแดงสดกำลังไหลซึมออกมาตามซอกนิ้ว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรในตอนนี้ เมื่อเธอกวาดตามองสำรวจเรือนร่างของเขาแล้วก็พบว่าเขาไม่ได้สวมอะไรเลยสักชิ้น
เท่านั้นยังไม่พอ! เพราะตอนนี้อาวุธร้ายตรงกึ่งกลางกายของเขากำลังผงาดอวดศักดาเต็มที่ ห่อหุ้มด้วยเกราะพลาสติกสีใสที่ไม่ได้ช่วยอำพรางความกำยำใหญ่โตของเขาเลยสักนิดเดียว
“ว้าย! ตาเถรหกตกน้ำป๋อมแป๋ม!” สาบานว่านั่นคือคำอุทานยามตกใจของเธอเองนั่นแหละ ทันทีที่เห็นไอ้นั่นของเขาชี้โด่เด่ มือบางก็ปล่อยไม้เบสบอลร่วงลงจากมือทันที ก่อนหันหลังแล้วยกมือปิดหน้าอย่างไว หัวใจเต้นตึกตักราวกับจะทะลุออกนอกอกเสียให้ได้
“ตกลงเธอเป็นใครเนี่ย?!” แต่นาทีนั้นคงไม่มีใครมีอารมณ์จะขำกับคำอุทานของเธอหรอกนะ ผู้หญิงคนเดิมจึงร้องตวาดถาม
“อะ...เอ่อ... พวกคุณแต่งตัวก่อนดีไหมคะ? เดี๋ยวฉันออกไปรอที่ห้องนั่งเล่นข้างล่าง” ไม่รอให้ใครได้คัดค้านอะไร คนนอกอย่างเธอก็ก้าวฉับๆ ออกไปจากห้องนั้นทันที ราวกับว่าทนความอับอายต่อไม่ไหวอีกต่อไป