Home/ ราชาชูรา Ongoing
ผมใช้ชีวิตเป็นทาสมาแปดปีจนกระทั่งวันหนึ่งพระเจ้าเรียกผมและทรงสร้างอาวุธให้ผม!
About
Table of Contents
Comments (2)

“เหตุใดข้าจึงต้องถอนตัว? การคัดตัวที่จัดขึ้นโดยโดยหออู่จงในครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้ศิษย์ทั่วไปของนิกายชิงอวิ๋น เป็นที่แน่ชัดว่าได้รวมถึงตัวข้าด้วย!” ฉินหมิงยืนอยู่บนแท่นสูง หันหน้าไปทางสตรีอาวุโสผู้มีทีท่าไม่แยแสนางหนึ่ง แม้เขาจะยืนกรานเช่นนั้นทว่านางกลับไม่ยอมรับและมองเขาด้วยแววตาเยียบเย็น เสียงหัวร่อสะท้อนเป็นคลื่นจากฝูงชนที่ยืนอยู่ด้านล่างแท่นสูง

“อย่าทำให้ตนเองได้ขายหน้า จงลุกขึ้นบัดเดี๋ยวนี้” ท่านผู้เฒ่าเอ่ยเตือนเป็นครั้งที่สาม

“ข้าประสงค์จะเข้าร่วมคัดตัวรอบแรก! ท่านผู้อาวุโสชูฮัว โปรดเมตตา” ฉินหมิงมิทระนงตนแม้แต่น้อย เขาไม่แม้แต่จะไยดีฝูงชนที่มองประเมินเขาจากเบื้องล่าง

“ช่างดื้อดึงนัก!” ผู้อาวุโสชูฮัวแค่นลมหายใจอย่างเย็นชาก่อนจะยกมือของนางขึ้น พลันจิตสังหารขนาดมหึมาก็กดทับรอบตัวฉินหมิง ราวกับศิลาหนักร้อยชั่งตกจากฟากฟ้าลงมาบนตัวเขา ชั่งเป็นหน่วยของพลังที่ใช้ในศิลปะการต่อสู้ หนึ่งชั่งเทียบเท่ากับสิบตำลึง

ฉินหมิงคำรามในลำคอและยืดหยัดอดทนอยู่บนแท่น เขาเหลือบมองไปยังแท่นบูชาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดก้านธูปกำลังไหม้อยู่ ตราบเท่าที่เขาสามารถทนได้ครึ่งก้านธูป เขาก็จะผ่านรอบแรก จากนั้นเขาจะสามารถเข้าร่วมในรอบต่อไปและเข้าร่วมประลองเพื่อชิงตำแหน่งหนึ่งในสามสิบนักสู้แห่งหออู่จง

ผู้อาวุโสชูฮัวเพิ่มแรงด้วยสีหน้าเรียบเฉย จิตสังหารที่นางปล่อยออกมาซ้อนทับเป็นชั้นๆ เพียงไม่นานแรงกดทับบนตัวของฉินหมิงก็เพิ่มเป็นสามร้อยชั่ง

ฉินหมิงกัดฟันและอดทนอย่างดื้อรั้น เขาไม่ขยับแม้แต่ฉื่อเดียวทั้งๆ ที่น้ำหนักเหลือทน

ในเวลานี้ เสียงเยาะเย้ยของผู้ที่อยู่ใต้แท่นแปรเปลี่ยนเป็นอาการอ้าปากค้างด้วยความความประหลาดใจ พวกเขาผงะไปเมื่อเห็นว่าฉินหมิงสามารถทานรับได้

ผู้อาวุโสชูฮัวมองฉินหมิงอย่างเฉยเมยขณะที่จิตสังหารของนางเข้มข้นขึ้นทุกอึดใจ ราวกับศิลาหนักกดทับลงบนฉินหมิงอย่างต่อเนื่อง

เริ่มจากสามร้อยชั่ง เป็นสี่ร้อยชั่ง ห้าร้อยชั่ง หกร้อยชั่ง

ทว่าฉินหมิงยืนหยัดอย่างมั่นคงและไม่ย่อท้อ เขาจ้องตรงไปที่ผู้อาวุโสชูหัวผู้อยู่เบื้องหน้า ตราบจนแรงกดทับหนักถึงแปดร้อยชั่ง ร่างกายของเขาจึงเริ่มสั่นสะท้าน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมมีโลหิตหลั่งออกมาจากมุมปาก

“นี่คือชะตากรรมของเจ้า” ผู้อาวุโสชูฮัวเอ่ยอย่างดูแคลน นางเตรียมปิดฉากการเล่นตลกนี้เสีย

แต่แล้ว...

“ท่านมิอาจเอ่ยเช่นนั้น” ฉับพลันกระแสสีชาดได้ไหลออกจากร่างของฉินหมิง พัดพาเอาธุลีดินใต้ร่างเขาขึ้นมา ขาทั้งสองของเขาสั่นบิดเช่นเดียวกับร่างกาย อันเป็นผลจากกระแสอากาศที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบ ขุมพลังรุนแรงระเบิดออกจากร่างของเขาในทันใด

“หรือเขาจะสำแดงกำลังภายใน?” ผู้ชมต่างตกตะลึงกับฉากนี้ เหล่าศิษย์นับไม่ถ้วนเอามือปิดปากด้วยความตกตะลึง

“เพื่อจะสำแดงกำลังภายใน ย่อมหมายความว่าเขาได้ก้าวผ่านสู่ขั้นต่อไปแล้ว หรือเขาทะลวงผ่านขอบเขตของขั้นชุยหลิงแล้ว?”

เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งร้องเสียงแหลม “นั่นฟ้าผ่า! เขาแปรกำลังภายในเป็นสายฟ้าได้”

“เจ้าหนุ่ม พรสวรรค์ของเขาช่างน่าทึ่งเหลือเกิน!”

ในระยะไกล ศิษย์ชั้นสูงต่างถูกฉินหมิงทำให้ตกตะลึง! แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง นี่เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ ทว่าเมื่องมองไปยังฉินหมิงผู้แน่วแน่ พวกเขาต่างส่ายหัวอย่างเสียดาย สิ่งนี้จะมีประโยชน์อันใด? ฉินหมิงย่อมแจ้งแก่ใจว่าเขาไม่อาจผ่านการทดสอบนี้ได้ และเขาไม่ควรนำความอับอายมาสู่ตัวเอง นี่คือชะตากรรมของเขา และเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงมันได้

เหล่าผู้เยาว์ที่อยู่ใต้แท่นต่างก็ส่ายศีรษะเงียบๆ การทดสอบที่ดำเนินไปในวันนี้มีไว้สำหรับศิษย์ทั่วไปของนิกายเพื่อให้มีที่ทางในหออู่จง เวลานี้พวกเขาอยู่ในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของนิกายชิงอวิ๋น สถานที่ซึ่งมีตำราและทักษะศิลปะการต่อสู้แบบต่างๆ อย่างหลากหลาย โดยปกติแล้วจะเปิดให้เฉพาะศิษย์ระดับหัวกะทิเท่านั้น ทว่าศิษย์ทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้ทุกๆหกเดือน นี่เป็นโอกาสที่หายากสำหรับพวกเขา และผู้คนหลายพันคนต่างกำลังต่อสู้กันเพื่อหาที่สำหรับตัวเอง

ทุกคนต้องการต่อสู้เพื่อโอกาสอันล้ำค่าเช่นนี้ กระนั้น โอกาสทองดังกล่าวก็ไม่อาจมีให้แก่ฉินหมิงได้ เพราะเขาเป็นบุตรชายของคนบาป

ฉินหมิงเป็นลูกศิษย์ที่มีสถานะพิเศษและเก่งกว่าคนอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม นั่นไม่มีผลอันใดเนื่องเขาเป็นบุตรชายของคนบาป สำหรับคนอื่นๆ เขาหาได้มาที่นี่เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ทว่ามาเพื่อทนทุกข์

ผู้อาวุโสชูฮัวเหลือบมองฉินหมิงด้วยความเห็นใจและความเสียใจ ทว่าแววตาของนางกลับปกคลุมไปด้วยความเย็นชายิ่งกว่าเดิม นางกล่าวว่า “ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะถอนตัวหรือไม่?”

“ไม่มีวัน! ข้าจะอดทนจนกว่าธูปจะไหม้ครึ่งหนึ่งแล้วข้าจะผ่านการทดสอบ! เมื่อข้าผ่านการทดสอบ ข้าจึงจะเข้าสู่รอบที่สองได้” ฉินหมิงตั้งใจแน่วแน่ที่จะทนต่อแรงกดดันอันหนักหน่วงที่ปล่อยออกมาจากผู้อาวุโสชูฮัว กระแสพลังส่องประกายระยิบระยับไปทั่วร่างกายของเขา เขาเหลือบดูธูปที่อยู่ตรงกลางเวทีอีกครั้งและตระหนักว่าอีกไม่นานก็จะถึงเวลา

ยัง...

ฉับพลัน ผู้อาวุโสชูฮัวก็กำมือขวาของนางก่อนที่คลื่นอากาศจะเข้มข้นขึ้น แรงกดดันมหาศาลดั่งภูเขาทั้งลูกถล่มทับร่างของฉินหมิง

ตอนนั้นเอง โลหิตกระอักออกจากปากของฉินหมิงขณะที่เขาล้มลงบนพื้นอย่างแรง ใบหน้าของเขาแดงก่ำในขณะที่พลังปราณและโลหิตของเขาปั่นป่วนภายในร่างกาย

“เจ้าไม่ผ่านการทดสอบ!”

ผู้อาวุโสชูฮัวมองไปที่ฉินหมิงผู้พ่ายแพ้และประกาศชะตากรรมของเขา

“ท่าน...” ฉินหมิงนอนอยู่บนพื้น หอบหายใจอย่างหนัก

ตามกฎแล้ว ผู้อาวุโสที่เป็นผู้ตรวจสอบยังต้องปลดปล่อยจิตสังหารเพื่อปราบปรามผู้ท้าชิง โดยทั่วไป ผู้อาวุโสชูฮัวจะใช้จิตสังหารของนางเพียงยี่สิบส่วนเพื่อตรวจสอบพละกำลังและความอุตสาหะของผู้ท้าชิง ในทางกลับกัน ผู้ท้าชิงต้องอดทนไว้เพียงครึ่งก้านธูปเพื่อให้ผ่านการทดสอบ อย่างไรก็ตาม ในชั่วพริบตา นางได้ปลดปล่อยจิตสังหารของนางอย่างน้อยเจ็ดสิบถึงแปดสิบส่วน

ผู้อาวุโสชูฮัวซึ่งเป็นถึงผู้ชำนาญศิลปะการต่อสู้ขั้นตี้อู่ ได้รังแกฉินหมิง ผู้ซึ่งเป็นเพียงศิษย์ขั้นหลิงอู่

การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้แบ่งออกเป็น ขั้นหลิงอู่, ขั้นซวานอู่, ขั้นตี้อู่, ขั้นเฉิงอู่, ขั้นเทียนอู่, ขั้นหวงอู่, ขั้นเสียนอู่ เป็นต้น ก่อนเข้าสู่ขั้นหลิงอู่ คนผู้นั้นจำเป็นต้องได้รับการขัดเกลาจิตวิญญาณเป็นเวลานาน หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้แล้ว พวกเขาจะรวมกายทิพย์ของพวกเขาและเข้าสู่ขั้นหลิงอู่

แต่ละขั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก และมีช่องว่างระหว่างแต่ละขั้นที่ยากจะข้ามผ่าน สำหรับคนหนุ่มเช่นฉินหมิงที่อายุเพียงสิบห้าปี ความสามารถในการต้านทานจิตสังหารของผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ขั้นตี้อู่ จนกระทั่งธูปถูกเผาไปถึงครึ่งหนึ่งเป็นขีดจำกัดสูงสุดของเขาแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสชูฮัวกลับบีบให้ฉินหมิงต้องพ่ายแพ้ เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการให้โอกาสเขา

“ยอมรับชะตากรรมของเจ้าเสีย เจ้าไม่ควรมองหาสิ่งที่มิใช่ของเจ้า และเจ้าไม่ควรมาในที่ซึ่งมิใช่ของเจ้า หากเจ้าไม่ผ่านรอบแรก เจ้าจะไม่โอกาสได้สู้ในรอบถัดไป กลับไปเป็นข้ารับใช้อย่างที่เจ้าเป็นอยู่เสียเถิด" หลังจากเอ่ยวาจาจบ ผู้อาวุโสชูฮัวก็หันหลังเตรียมจากไป

ทันใดนั้นเอง ฝูงชนกลับร้องออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อฉินหมิงลุกขึ้นอย่างกะทันหันและปล่อยหมัดใส่ผู้อาวุโสชูฮัวด้วยนิ้วมือที่กำแน่น เขาตะโกนว่า "ข้าต้องการทดสอบอีกครั้ง! จงรับไป!"

อัศนีทั้งมวลมารวมตัวกันบนกำปั้นของเขาและส่องแสงเป็นประกายจนทำให้ทุกคนประหลาดใจ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้มือใหม่ของขั้นหลิงอู่จะสามารถทำได้อย่างแน่นอน

ผู้อาวุโสชูฮัวรีบหันกลับมาและโฉบผ่านฉินหมิง จากนั้นนางก็วาดมือออกไปกระทบยังท้องของเขา

ขณะที่ฝ่ามือของนางปะทะเข้ากับร่างกายของเขา ฉินหมิงก็กระอักเลือดออกมามากขึ้นและเหินถอยตกลงมาจากแท่นและกระแทกพื้น ร่างกายของเขาหยุดนิ่งหลังจากกลิ้งไปสามถึงห้าครั้ง

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าฉินหมิงไปถึงขั้นที่สองของระดับหลิงอู่แล้ว?” ศิษย์หลายคนสนทนากันและคาดเดาถึงความแข็งแกร่งของฉินหมิง เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้ในระยะแรกจะรวมกำลังภายในของเขาให้อยู่ในระดับที่ทรงพลังได้เช่นนี้ ในเวลานี้ ทุกคนต่างคิดว่าฉินหมิงเป็นอัจฉริยะตัวจริง เขาพึ่งตนเองเพื่อให้ไปถึงระดับนี้ ศิษย์คนอื่นๆ ถึงกับกังขาว่าฉินหมิงจะทรงพลังเพียงใดถ้าเขาไม่ใช่บุตรชายของคนบาปและได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจากนิกายชิงอวิ๋น น่าเสียดายที่เขาเกิดผิดครอบครัว

ฉินหมิงพยายามลุกขึ้นยืนก่อนจะกระอักโลหิตออกมาเต็มปากอีกครั้ง เขาแทบจะแหลกสลาย มีอาการปวดแสบปวดร้อนในช่องท้องจากแรงหนักหน่วงที่เขาเพิ่งได้รับ

ฝูงชนรอบๆ แยกย้ายกันไปและไม่มีใครออกมาช่วยเขา ในอีกด้านหนึ่ง ผู้เยาว์สองสามคนจ้องมองฉินหมิงขณะที่พวกเขาเริ่มเยาะเย้ย

“โอ้ ช่างเป็นการแสดงที่น่าสนใจซึ่งคุณชายฉินเพิ่งแสดงเพื่อพวกเรา มาเถอะ ปรบมือให้เขา การแสดงของเขาค่อนข้างดี”

หนึ่งในนั้นหัวเราะคิกคักขณะแสดงความคิดเห็น “ดูจากหน้าท่าน ข้าแทบไม่เชื่อว่าท่านจะขวัญกล้าพอที่จะลอบโจมตีท่านผู้อาวุโส”

"ทระนงตนเกินไป! สมน้ำหน้าแล้ว!"

อีกคนหนึ่งส่งเสียงขู่ว่า "ท่านดูหยิ่งทะนงและเอาตนเป็นที่ตั้งถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงยังยืนขึ้นด้วยตนเองมิได้ ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่เล่า?"

“ยอมรับเถิด ท่านมาที่นี่เพียงเพื่อเป็นเครื่องสังเวยและไถ่ถอนบาปแทนบิดามารดาของท่าน ท่านมาเพื่อชดใช้ให้ชาวเมืองโบราณเหลยติ่ง 200,000 คนที่นี่” พวกเขาดูถูกฉินหมิงอย่างไร้ความปราณี

......

ฉับพลัน ฉินหมิงก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองพวกเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

เหล่าศิษย์สองสามคนนั้นสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลังและหุบปากลงทันทีพลางเสมองทางอื่น พวกเขามักจะต่อยตีกับฉินหมิง แต่โดยส่วนใหญ่ พวกเขาจะอยู่ฝ่ายแพ้และถูกทุบตีจนปางตาย ดังนั้นพวกเขาจึงเกรงกลัวฉินหมิง

ในเวลานี้ผู้อาวุโสชูฮัวเดินลงจากแท่นทดสอบและยืนเผชิญหน้ากับฉินหมิง น้ำเสียงของนางนั้นเยือกเย็นและเฉยเมยพอๆ กับท่าทีของนาง “ออกไปจากที่นี่เสีย กลับไปที่โรงเก็บของและจงเป็นข้ารับใช้อย่างที่เจ้าควรจะเป็น เป็นไปไม่ได้ที่นิกายชิงอวิ๋นจะให้เจ้าเข้าไปฝึกฝน เจ้าไม่ควรทำการทดสอบอื่น ๆ อีกในภายหน้า”

หลังจากพักหายใจได้ครู่หนึ่ง ฉินหมิงก็ปัดฝุ่นบนตัวของเขาออกแล้วยกยิ้ม เขาดูไร้กังวล ทว่าริมฝีปากของเขาเปื้อนเลือด ทำให้รูปลักษณ์ของเขาดูน่ากลัวและน่าเกรงขามมากขึ้นเท่านั้น เขาตอบว่า "สักวันข้าจะชนะตำแหน่งที่ข้าสมควรได้รับในนิกายชิงอวิ๋น ข้าจะเก่งกว่าพวกท่านทุกคน คอยดูเถิด"

ผู้อาวุโสชูฮัวแตะไหล่ฉินหมิงแล้วเอ่ยว่า "หากเจ้ามีปัญญาแล้วไซร้ เจ้าควรยอมรับความจริงและทำสิ่งที่เจ้าควรทำเพื่อชดใช้บาปให้บิดามารดาของเจ้า"

ฉินหมิงสะบัดมือออกแล้วก้าวออกไปอย่างอาจหาญ เขาดูน่าหวาดเกรงด้วยริมฝีปากที่เปื้อนเลือด ฝูงชนที่หวาดกลัวเคลื่อนตัวและหลีกทางให้เขา อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มบุรุษและสตรีผู้สูงศักดิ์สองสามคนก็เดินมาหาเขา

หัวหน้ากลุ่มเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามแต่ภาคภูมิ ชื่อของเขาคือจ้าวเลี่ย เขามีสถานะที่สูงส่งในหมู่ศิษย์ธรรมดา เขายังเป็นลูกศิษย์ผู้ติดตามของผู้อาวุโสชูฮัวด้วย ทว่ามิใช่เพราะเขาโดดเด่น แต่เป็นเพราะพี่หญิงของเขาเป็นศิษย์ที่รักของท่านผู้อาวุโส

ผู้อาวุโสชูฮัวเป็นผู้ตรวจสอบการคัดเลือกของหออู่จงในปีนี้ ดังนั้นจ้าวเลี่ยจะต้องผ่านการทดสอบและได้เป็นหนึ่งในสามสิบคนนั้นอย่างแน่นอน

“เฮ้ ท่านคือคุณชายฉินใช่หรือไม่ ท่านมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการทดสอบด้วยหรือ?”

จ้าวเลี่ยยืนอยู่ต่อหน้าฉินหมิงขณะที่เขามองไปด้านหลังด้วยความกังวล อย่างไรก็ตาม มันไม่สามารถซ่อนความเย้ยหยันในสายตาของเขาได้ เขาเคยโดนฉินหมิงทุบตีมาหลายครั้งแล้ว แต่จากนี้ไป ชะตากรรมของพวกเขากำลังจะเปลี่ยนไปในที่สุด จ้าวเลี่ยจะเข้าไปในหออู่จงเพื่อเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้อันทรงพลังและกลายเป็นศิษย์ผู้ติดตามของผู้ท่านอาวุโส วันข้างหน้าของเขาจะไร้ขอบเขต สำหรับฉินหมิง เขาจะอยู่ในโรงเก็บของต่อไปและเป็นข้ารับใช้ที่อ่อนแอ

ฉินหมิงไม่อยากสนทนากับจ้าวเลี่ย เขาจึงเดินต่อไปข้างหน้า

จ้าวเลี่ยเอื้อมมือไปหยุดฉินหมิงแล้วพูดว่า “คุณชายฉิน ท่านอารมณ์ไม่ดีหรือ? เพราะเหตุใดกันเล่า? ข้านั้นอารมณ์ดีมาก…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฉินหมิงก็หมุนศีรษะไปรอบๆ และยกมือขึ้นราวกับว่าเขากำลังจะปล่อยหมัดใส่จ้าวเลี่ย เขาดูดุดันอย่างเหลือเชื่อด้วยริมฝีปากที่เต็มไปด้วยโลหิต

จ้าวเลี่ยตกใจเล็กน้อย เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวในขณะที่ถูกฝูงชนเฝ้าดูอยู่

อย่างไรก็ตาม ฉินหมิงเพียงยกมือขึ้นเพื่อเช็ดโลหิตจากมุมปากของเขา เขาเยาะเย้ยดูถูกและกล่าวว่า "ท่านเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์ผู้ติดตามหรือ?

ผู้อาวุโสชูฮัวขมวดคิ้วเมื่อได้เห็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางไม่พอใจที่จ้าวเลี่ยขวัญอ่อน

แน่นอน จ้าเลี่ยสังเกตเห็นท่าทีไม่พอใจของผู้อาวุโส แก้มของเขาแดงด้วยความอับอายและเขาแทบอยากจะมีเรื่องกับฉินหมิง อย่างไรก็ตาม เขาถูกคนรอบข้างดึงกลับมา การทดสอบมีความสำคัญมากกว่า มีสาวกหลายพันคนอยู่ด้วย และคงจะดีกว่าสำหรับเขาที่จะจัดการกับฉินหมิงในครั้งต่อไป

จ้าวเลี่ยโกรธจัดและแสดงความเกลียดชังขณะมองฉินหมิงจากไป นี่เป็นโอกาสดีสำหรับเขาที่จะโอ้อวด แต่เขากลับทำตัวเองอับอาย จ้าวเลี่ยแอบส่งเสียงดูถูกเหยียดหยามและสาบานว่าจะกำราบฉินหมิงในภายหลัง

ฉินหมิงออกจากสถานที่ทดสอบและมุ่งหน้าไปยังโรงเก็บของของนิกายชิงอวิ๋น

ระหว่างทาง ศิษย์หลายคนของนิกายชิงอวิ๋นหัวเราะเยาะฉินหมิงขณะที่พวกเขาเดินผ่านเขาไป พวกเขาคุ้นเคยกับรูปลักษณ์ที่เปื้อนเลือดและสภาพที่ไม่เรียบร้อยของเขา บางคนเพิกเฉยต่อเขา บางคนเห็นใจเขา บางคนก็ส่ายหัว มีบางคนเยาะเย้ยเขาจากที่ไกล ๆ โดยบอกให้เขาเป็นข้ารับใช้ที่เชื่อฟังอย่างที่คนบาปควรเป็น ฉินหมิงก่อปัญหาบ่อยครั้ง และคนอื่นๆ พบว่ามันเป็นปาฏิหาริย์ที่เขาสามารถอยู่รอดได้จนถึงทุกวันนี้

ไม่เพียงแค่นั้น แต่พวกเขายังเยาะเย้ยเขาเพราะชื่อของเขาที่ฟังดูไร้แก่นสารสำหรับหูของพวกเขาอีกด้วย เพราะคำว่า 'หมิง' ที่คล้องจองกับคำว่า 'โชคชะตา' ในภาษาของพวกเขา อันที่จริง ชะตากรรมที่น่าสงสารของฉินหมิงนั้นช่างน่าสมเพชเสียนี่กระไร!

You may also like

Download APP for Free Reading

novelcat google down novelcat ios down